ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% แต่ยังไม่ฟันธงว่าการประชุมครั้งต่อไปจะลดอีกหรือไม่ ขณะที่นายทรัมป์เรียกร้องให้เฟดลดดอกเบี้ยเพิ่มอีกเท่าตัว
เมื่อวันพุธที่ 10 ธ.ค. 2568 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลงเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ โดยลดลงอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วง 3.50% ถึง 3.75% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบสามปี แม้จะมีความเห็นไม่ลงรอยกันว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้าหรือไม่
ผู้กำหนดนโยบายของเฟดมีความเห็นไม่ตรงกันว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะสร้างสมดุลระหว่างสิ่งที่สำคัญที่สุด 2 อย่างสำหรับตลาดคือ ตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง กับ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ได้อย่างไร โดยการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของเฟดที่เผยแพร่ในวันพุธ ชี้ว่าจะยังคงมีการลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีหน้า แต่ข้อมูลใหม่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่า ธนาคารกลางต้องการเวลาเพื่อดูว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งสามครั้งของเฟดในปีนี้ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรบ้าง และเสริมว่าผู้กำหนดนโยบายจะพิจารณาข้อมูลที่เข้ามาอย่างใกล้ชิด ก่อนการประชุมครั้งต่อไปของ Fed ในเดือนมกราคม
ท่าที่ของนายพาวเวลล์ทำให้ผู้ที่คาดหวังให้อัตราดอกเบี้ยลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่พอใจ แต่เขายืนยันว่า เฟดกำลังเผชิญกับ “สถานการณ์ที่ท้าทายอย่างมาก” เนื่องจากต้องรับมือกับความเสี่ยงของทั้งอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและการว่างงาน เพราะ “คุณไม่สามารถทำสองสิ่งไปพร้อมกันได้”
การตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายของเฟดเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นเอกฉันท์ โดยมีคณะกรรมการเฟด 3 คนคัดค้าน บ่งชี้ถึงความแตกต่างทางความคิดที่กว้างขึ้นในธนาคารกลางเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ
...
นายสตีเฟน มีแรน ซึ่งลาพักงานจากตำแหน่งผู้นำสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ โหวตให้ลดอัตราดอกเบี้ยมากถึง 0.5% ไม่ใช่แค่ 0.25% ส่วนนายออสแทน กูลสบี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาชิคาโก และนายเจฟฟรีย์ ชมิด ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาแคนซัสซิตี้ โหวตให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิม
ด้านนายทรัมป์ซึ่งเรียกร้องให้นายพาวเวลล์ลดอัตราดอกเบี้ยมาตลอดกล่าวหลังการประชุมเมื่อวันพุธว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดนั้น น่าจะเพิ่มขึ้นได้ “อย่างน้อยสองเท่า” และว่าสหรัฐฯ ควรเป็นประเทศที่มี “อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดในโลก”
ทั้งนี้ ผลจากการชัตดาวน์ครั้งยาวนานที่สุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายน ทำให้ผู้กำหนดนโยบายขาดข้อมูลบางส่วน เกี่ยวกับสถานะของเศรษฐกิจ แต่ความกังวลเกี่ยวกับตลาดงานที่ชะลอตัวลง ยังคงมีน้ำหนักมากกว่าความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ อย่างน้อยก็ในตอนนี้
ตัวเลขจากกระทรวงแรงงานในรายงานฉบับล่าช้าซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนพฤศจิกายน แสดงให้เห็นว่า อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 4.3% เป็น 4.4% ในเดือนกันยายน การลดอัตราดอกเบี้ยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นตลาดแรงงาน ด้วยการสร้างต้นทุนการกู้ยืมที่ต่ำลงสำหรับธุรกิจ
ความกังวลเกี่ยวกับ เงินเฟ้อที่เกิดจากภาษีศุลกากร เคยเป็นประเด็นสำคัญในช่วงต้นปีนี้ เมื่อนายทรัมป์ผลักดันภาษีศุลกากรครั้งใหญ่กับประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดหลายรายของสหรัฐฯ
อัตราเงินเฟ้อตอนนี้ยังคงสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% ของเฟด โดยในเดือนกันยายน อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงถึง 3% เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนมกราคม
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์กล่าวว่า ในขณะที่ภาษีศุลกากรดูเหมือนจะผลักดันราคาสินค้าอุปโภคบริโภคบางรายการให้สูงขึ้น แต่การอ่านค่าเงินเฟ้อที่ไม่รุนแรงอย่างที่คาดไว้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้เฟดสามารถมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นตลาดแรงงานโดยการลดอัตราดอกเบี้ยได้
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc