หน่วยงานนิวเคลียร์ของสหประชาชาติออกมาเตือนว่ากำแพงป้องกันรังสีของโรงงานนิวเคลียร์ “เชอร์โนบิล” ในยูเครน ถูกโดรนโจมตีเสียหาย และจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซม
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) เปิดเผยในวันอาทิตย์ที่ 7 ธ.ค. 2568 ว่า เกราะป้องกันที่สร้างขึ้นเหนือพื้นที่เกิดภัยพิบัตินิวเคลียร์ของโรงไฟฟ้า “เชอร์โนบิล” ในปี 2529 ถูกโจมตีด้วยโดรนเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และสูญเสียการทำงานหลักด้านความปลอดภัยหลายอย่าง รวมถึงขีดความสามารถในการกักเก็บรังสี
การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ โดยยูเครนกล่าวหารัสเซียว่ากำหนดเป้าหมายโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่ฝ่ายมอสโกปฏิเสธ
IAEA ระบุว่า ทีมงานได้ดำเนินการประเมินความปลอดภัยของสถานที่แห่งนี้เสร็จสิ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากที่มัน “ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง” จากการโจมตีด้วยโดรน การโจมตีดังกล่าวทำให้เกิดไฟไหม้ที่แผ่นหุ้มด้านนอกของโครงสร้างเหล็ก
ผู้ตรวจสอบกล่าวว่า โครงสร้างรับน้ำหนักหรือระบบตรวจสอบของเกราะป้องกันไม่ได้รับความเสียหายถาวร และมีการซ่อมแซมส่วนหลังคาไปบ้างแล้ว
แต่นายราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการใหญ่ของ IAEA กล่าวว่า “การฟื้นฟูที่ทันเวลาและครอบคลุมยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันความเสื่อมโทรมอย่างต่อเนื่อง และรับประกันความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ในระยะยาว”
อย่างไรก็ตาม ศ. จิม สมิธ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมบอกกับสำนักข่าวบีบีซี ว่า สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่น่าตื่นตระหนก
ศ. สมิธ จากมหาวิทยาลัยพอร์ตสมัทในสหราชอาณาจักร ซึ่งศึกษาผลพวงของภัยพิบัติเชอร์โนบิล กล่าวว่า อันตรายที่ใหญ่ที่สุดที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้คือ “การรบกวนฝุ่นกัมมันตรังสี” แต่ตอนนี้ความเสี่ยงยังต่ำ เนื่องจากฝุ่นที่ปนเปื้อนถูกกักเก็บอยู่ภายใน “โลงหิน” (sarcophagus) คอนกรีตหนา ซึ่งมีเกราะป้องกันคลุมไว้อีกชั้นหนึ่ง
...
โลงหินซึ่งกักเก็บกัมมันตรังสีเอาไว้นี้ มีอายุการใช้งานเพียง 30 ปี จึงจำเป็นต้องมีเกราะป้องกันเพื่อป้องกันไม่ให้สารกัมมันตรังสีรั่วไหลออกมาในช่วง 100 ปีข้างหน้า
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc