ทีมนักวิจัยอินโดนีเซียและนานาชาติยืนยันการค้นพบดอกบัวผุด "ราฟเฟิลเซีย ฮัสเซลติไอ" (Rafflesia hasseltii) ในพื้นที่อนุรักษ์ที่ชุมชนดูแลในเขตเกาะสุมาตราตะวันตก หลังการค้นหานานถึง 13 ปี ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของโครงการศึกษาความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของบัวผุดทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์จีโนมเต็มรูปแบบ
สถาบันวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติอินโดนีเซีย (BRIN) มหาวิทยาลัยเบิงกูลู และเครือข่ายชุมชนอนุรักษ์พืชหายาก ร่วมกันยืนยันการค้นพบ Rafflesia hasseltii หนึ่งในสายพันธุ์ดอกไม้หายากของอินโดนีเซีย ผ่านงานวิจัย "The First Regional Pan-Phylogeny for Rafflesia" ซึ่งมุ่งศึกษาความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของดอกบัวผุดทุกสายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เซปเชียน อันดริกิ นักพฤกษศาสตร์ชาวอินโดนีเซีย และคริส โธโรกูด รองผู้อำนวยการสวนพฤกษศาสตร์ มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด เดินทางฝ่าป่าฝนหนาทึบในอินโดนีเซียเป็นเวลาเกือบหนึ่งวัน เพื่อตามหาพืชหายากชนิดนี้ ซึ่งไม่ได้พบเห็นในป่ามานานกว่าทศวรรษแล้ว และเมื่อค้นพบ นายอันดริกิถึงกับคุกเข่า และร้องไห้ด้วยความยินดีกับการค้นพบ โดยกล่าวว่า "มันคือการรอคอยนานถึง 13 ปี"
...
นายโจโก ริโด วิโตโน นักวิจัยจากศูนย์วิจัยชีววิทยาเชิงระบบและวิวัฒนาการของ BRIN กล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายนว่า "กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของเราในการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมระหว่างสายพันธุ์บัวผุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และรับรองการอนุรักษ์พวกมันในแหล่งที่อยู่ตามธรรมชาติ"
นายโจโกกล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้ตอกย้ำสถานะของอินโดนีเซียในฐานะประเทศที่มีความหลากหลายของบัวผุด ที่สูงที่สุดในโลก เทียบเท่ากับฟิลิปปินส์ ปัจจุบัน มีการบันทึกบัวผุดปรสิตยักษ์ในอินโดนีเซียรวม 16 สายพันธุ์ โดยทีมวิจัยของ BRIN ประสบความสำเร็จในการเก็บตัวอย่าง 13 ชนิดสำหรับการวิเคราะห์ดีเอ็นเอ
เขายังอธิบายว่า การวิจัยที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2025 นี้ ทีม BRIN รับผิดชอบการเก็บและวิเคราะห์ตัวอย่างในอินโดนีเซีย ขณะที่ประเทศอื่น เช่น มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ก็ดำเนินการวิจัยคู่ขนานในดินแดนของตน
"เรามั่นใจว่าจะไม่มีวัสดุพันธุกรรมใด ๆ ออกจากอินโดนีเซีย กระบวนการวิจัยทั้งหมดดำเนินการอย่างถูกกฎหมายและมีใบอนุญาต" นายโจโกกล่าว พร้อมระบุว่า การวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากสวนพฤกษศาสตร์และเรือนเพาะชำของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และโครงการ RIIM Expedition จาก BRIN
การค้นพบ Rafflesia hasseltii ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของการวิจัยนี้ โดยสายพันธุ์ดังกล่าวถูกค้นพบระหว่างการสำรวจในพื้นที่เบงกูลูและสุมาตราตะวันตก ในเขตซิจุนจุงของสุมาตราตะวันตก ทีมวิจัยสามารถบันทึกภาพการบานของบัวผุดฮัสเซลท์ในพื้นที่อนุรักษ์ที่ดูแลโดยชุมชน ผ่านสถาบันจัดการป่าไม้ท้องถิ่น
นายโจโกเน้นย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์โดยชุมชน เนื่องจากบัวผุดจำนวนมากมักพบนอกพื้นที่อนุรักษ์ แม้กระทั่งในสวนกาแฟและสวนปาล์มน้ำมันของชุมชน "หากไม่มีการให้ความรู้อย่างเหมาะสม การมีอยู่ของบัวผุดอาจถูกคุกคามจากกิจกรรมของมนุษย์"
นายโจโกอธิบายว่า การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธี Whole Genome Sequencing (WGS) หรือการจัดลำดับจีโนมเต็มรูปแบบเพื่อทำแผนที่จีโนมของบัวผุด ซึ่งอาจนำไปสู่การค้นพบสายพันธุ์ใหม่ในหมู่เกาะอินโดนีเซียได้ เขากล่าวว่า วิธีนี้แตกต่างจากการวิจัยดีเอ็นเอของบัวผุดในอดีต ซึ่งตรวจสอบเพียงชิ้นส่วนยีนขนาดเล็ก (500-1,500 คู่เบส)
อย่างไรก็ตาม การวิจัยเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากบัวผุดเป็นพืชปรสิตแบบสมบูรณ์ และดอกของมันจะบานอยู่เพียงไม่กี่วัน นอกจากนี้ บางสายพันธุ์ยังตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่เข้าถึงได้ยาก และต้องอาศัยข้อมูลที่แม่นยำจากชุมชนท้องถิ่น
นายโจโกยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสนับสนุนจากภาครัฐและชุมชนในการอนุรักษ์ถิ่นที่อยู่ของบัวผุด โดยกล่าวว่าเมื่อสิ้นสุดกิจกรรมนี้ ทีมวิจัยที่ประสานงานโดย BRIN จะร่าง ข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อเป็นข้อแนะนำสำหรับยุทธศาสตร์การอนุรักษ์บัวผุดแห่งชาติต่อไป.
ที่มา TEMPO English