ที่ประชุม COP30 ล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงที่กำหนดให้นานาชาติลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้น แต่ยังมีการจัดตั้งกองทุนแก้ไขปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า
เมื่อวันเสาร์ที่ 22 พ.ย. 2568 ที่ประชุมสุดยอดผู้นำรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 30 (COP30) ล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงฉบับใหม่ที่กำหนดให้นานาชาติลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มเติม แม้จะเจรจากันนานเกินเวลาถึง 18 ชั่วโมง
หลังจากที่มีการโต้เถียงกันอย่างดุเดือดเกี่ยวกับเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ใหญ่ที่สุดของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จนทำให้การประชุมครั้งสุดท้ายหยุดชะงัดเป็นเวลานาน ที่ประชุม COP30 ก็มีการบรรลุข้อตกลงที่ไม่มีการอ้างถึงเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยตรง
นายลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิล กับผู้นำและผู้แทนจากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก รวมถึงสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป พ่ายแพ้ในการต่อสู้เพื่อผลักดันพันธสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อ 2 ปีก่อน ที่จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลให้มากขึ้น
แต่บางประเทศ เช่น ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ต่างพอใจกับผลลัพธ์ โดยกล่าวว่าพวกเขามีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยจังหวะของตัวเองอย่างไร
ประเทศร่ำรวยให้คำมั่นที่จะเพิ่มเงินทุนเป็นสามเท่าเพื่อช่วยเหลือประเทศยากจน ในการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเงินประมาณ 1.2 แสนล้านดอลลาร์จากเป้าหมายการระดมทุนทั้งหมด 3 แสนล้าน จะถูกใช้เพื่อมาตรการปรับตัวต่างๆ ในประเทศที่เปราะบางที่สุด
ขณะเดียวกัน มีความคืบหน้าบ้างในเรื่องการแก้ไขปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงการจัดตั้งกองทุนที่เรียกว่า “Tropical Forest Forever Facility” ซึ่งระดมทุนได้กว่า 6.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว
...
การประชุมสุดยอดครั้งนี้เต็มไปด้วยความท้าทาย โดยผู้แทนหลายประเทศระบุว่า ที่ประชุมมีความคิดเห็นที่แตกแยกมากกว่าการประชุมครั้งก่อนๆ เนื่องจากผู้นำโลก รวมถึงโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ท้าทายฉันทามติโลกที่จะจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก ไม่เข้าร่วมการประชุม COP30 โดยโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามพาสหรัฐฯ ออกห่างจากการใช้มาตรการเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการลงนามคำสั่งพาสหรัฐฯ ถอนตัวจากความตกลงปารีส ซึ่งเป็นสนธิสัญญาสู้โลกร้อนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc