คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทาคาอิจิ ได้อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มูลค่ารวม 21.3 ล้านล้านเยน (ประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท) ซึ่งรวมถึงเงินอุดหนุนด้านพลังงานและการลดหย่อนภาษี โดยมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อต่อภาคครัวเรือนและบริษัทต่าง ๆ มาตรการชุดนี้ ซึ่งถือเป็นการดำเนินการของนายกรัฐมนตรีคนที่ 5 ของญี่ปุ่นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

นายกรัฐมนตรีทาคาอิจิเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้ว โดยให้คำมั่นว่าจะต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากความไม่พอใจต่อราคาที่สูงขึ้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นายชิเงรุ อิชิบะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ดำรงตำแหน่งได้เพียงปีเดียวต้องพ้นจากตำแหน่ง

อย่างไรก็ตาม แพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจของทาคาอิจิได้ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มพูนหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นที่มีอยู่มากมายมหาศาลอยู่แล้ว ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และค่าเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์

ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงยิ่งทำให้ราคาการนำเข้าของญี่ปุ่นสูงขึ้น เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรและพึ่งพาอาหาร พลังงาน และวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นอย่างมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ในวันนี้ (21 พ.ย.) นายซัตสึกิ คาตายามะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่ารัฐบาลอาจเข้าแทรกแซงเพื่อพยุงค่าเงินเยน โดยกล่าวว่าจะดำเนินการ "อย่างเหมาะสมต่อความเคลื่อนไหวในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ไร้ระเบียบ"

มาร์การิตา เอสเตเวซ-อาเบ นักวิเคราะห์จาก Syracuse University's Maxwell School แสดงความเห็นว่า ญี่ปุ่นดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบขยายตัวมานานเกินไปโดยที่ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ขณะที่หนี้สาธารณะก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ "เรากำลังเห็นปฏิกิริยาเชิงลบจากตลาดแล้ว การอ่อนค่าลงไปอีกของเงินเยนจะส่งผลกระทบต่อครัวเรือนชาวญี่ปุ่นทั่วไปด้วยราคาสินค้าที่สูงขึ้น"

...

ด้านนายกรัฐมนตรีทาคาอิจิ ได้กล่าวย้ำเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาถึงเป้าหมายในการมี "นโยบายการคลังที่มีความรับผิดชอบและเชิงรุก" โดยระบุว่า "เหนือสิ่งอื่นใด ลำดับความสำคัญสูงสุดของเราคือการจัดการกับราคาที่เพิ่มสูงขึ้นที่พลเมืองของเรากำลังเผชิญอยู่"

ข้อมูลอย่างเป็นทางการที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารสด เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 เมื่อเทียบรายปีในเดือนตุลาคม จากร้อยละ 2.9 ในเดือนกันยายน โดยราคาข้าว ซึ่งเป็นอาหารหลัก สูงกว่าปีที่แล้วถึงร้อยละ 40

ความกังวลสำหรับเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของเอเชียยังเพิ่มขึ้นจากความขัดแย้งทางการทูตที่กำลังดำเนินอยู่กับจีน หลังจากที่นายกรัฐมนตรีทาคาอิจิแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับไต้หวัน

จีนได้เรียกเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นเข้าพบ และแนะนำพลเมืองของตนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางมายังญี่ปุ่น ซึ่งชาวจีนถือเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวว่า รัฐบาลปักกิ่งจะระงับการนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่น แม้ว่าทั้งสองรัฐบาลจะยังไม่มีการยืนยันมาตรการดังกล่าวก็ตาม

ความขัดแย้งปะทุขึ้นหลังจากที่นายกรัฐมนตรีทาคาอิจิเสนอว่า ญี่ปุ่นอาจเข้าแทรกแซงทางทหาร หากเกิดการโจมตีไต้หวัน

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกมาระบุว่า "ความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ต่อความเป็นพันธมิตรสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น และการป้องกันประเทศญี่ปุ่น รวมถึงหมู่เกาะเซนกากุที่ญี่ปุ่นบริหารจัดการอยู่นั้น ไม่เปลี่ยนแปลง" โดยเน้นย้ำว่า พันธมิตรสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น ยังคงเป็นรากฐานสำคัญของสันติภาพและความมั่นคงในอินโด-แปซิฟิก และสหรัฐฯ คัดค้านความพยายามฝ่ายเดียวใด ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงสถานะที่เป็นอยู่ รวมถึงการใช้กำลังหรือการบีบบังคับในช่องแคบไต้หวัน ทะเลจีนตะวันออก หรือทะเลจีนใต้.