เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน เสด็จเยือนสหรัฐฯ และพบปะพูดคุยกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำเนียบขาว ซึ่งพระองค์ประกาศเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์

เมื่อวันอังคารที่ 18 พ.ย. 2568 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดทำเนียบขาวต้อนรับการมาเยือนของ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย โดยนี่นับเป็นการเสด็จเยือนสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกของพระองค์ นับตั้งแต่เกิดการลอบสังหารนักข่าว จามาล คาช็อกกี เมื่อปี 2561

ที่ห้องทำงานรูปไข่ เจ้าชายโมฮัมเหม็ดประกาศว่า ซาอุดีอาระเบียจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ จาก 6 แสนล้านดอลลาร์ เป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์ และเมื่อถูกนักข่าวถามว่า ซาอุฯ สามารถแบกรับภาระนี้ได้หรือไม่ มกุฎราชกุมารทรงตอบว่า “เราไม่ได้สร้างโอกาสปลอม ๆ เพื่อเอาใจอเมริกา หรือเอาใจประธานาธิบดีทรัมป์ได้”

ต่อมา นักข่าวของสำนักข่าว ABC ถามเจ้าชายโมฮัมเหม็ด เรื่องการฆาตกรรมนาย จามาล คาช็อกกี คอลัมนิสต์ของ วอชิงตัน โพสต์ ผู้ถูกสังหารภายในสถานกงสุลซาอุดีอาระเบีย ที่นครอิสตันบูลของตุรกีเมื่อ 4 ปีก่อน และกล่าวด้วยว่า ครอบครัวผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 9/11 โกรธที่มกุฎราชกุมารมาเยือน เนื่องจากคนร้าย 15 จาก 19 คนในเหตุการณ์นั้นเป็นชาวซาอุฯ

ในประเด็นนี้ นายทรัมป์ตอบแทนว่า มกุฎราชกุมารทรงทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม และกล่าวว่า พระองค์ไม่รู้เห็นเรื่องการสังหารดังกล่าวเลย โดยคำพูดของนายทรัมป์สวนทางกับรายงานข่าวกรองของสหรัฐฯ ปี 2564 ที่ระบุว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด เป็นผู้อนุมัติแผนการสังหารนายคาช็อกกี

แต่นายทรัมป์อ้างว่า นายคาช็อกกีเองก็เป็นที่ถกเถียงอย่างมาก “ผู้คนจำนวนมากไม่ชอบสุภาพบุรุษที่คุณกำลังพูดถึง ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบเขา เรื่องราวก็เกิดขึ้น แต่พระองค์ [มกุฎราชกุมาร] ไม่ทราบเรื่องนี้เลย”

...

เจ้าชายโมฮัมเหม็ดตรัสแทรกขึ้นมาว่า พระองค์ทรงรู้สึก “เจ็บปวด” ต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตในโศกนาฏกรรมเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ส่วนกรณีของนายคาช็อกกี พระองค์ก็รู้สึกเจ็บปวดที่ได้ยินเรื่องราวของใครก็ตามที่ต้องสูญเสียชีวิตโดยเปล่าประโยชน์

นอกจากนั้น พระองค์ทรงเรียกการสังหารดังกล่าวว่า “ความผิดพลาดครั้งใหญ่” และทรงยืนยันว่า มีการใช้ขั้นตอนที่ถูกต้องระหว่างการสืบสวน และระบบต่างๆ ได้รับการปรับปรุงแล้วเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก

ในด้านความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล เจ้าชายโมฮัมเหม็ดตรัสว่า ซาอุดีอาระเบียต้องการเป็นส่วนหนึ่งของ “ความตกลงอับราฮัม” (Abraham Accords) ซึ่งเป็นข้อตกลงที่สหรัฐฯ เป็นคนกลางในการเจรจาเมื่อปี 2563 และทำให้รัฐอาหรับบางประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างสมบูรณ์กับอิสราเอล

อย่างไรก็ตาม เจ้าชายโมฮัมเหม็ดตรัสเสริมว่า พระองค์ต้องการให้แน่ใจว่าจะมีหนทางที่ชัดเจนสู่การแก้ปัญหาแบบ “2 รัฐ” (two-state solution) ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์

ขณะเดียวกัน นายทรัมป์ก็ถูกถามเรื่องแฟ้มคดีของนายเจฟฟรีย์ เอปสตีน ซึ่งกำลังถูกจับตามองอย่างหนัก เนื่องจากมีชื่อของนายทรัมป์ปรากฏในหลักฐานด้วย

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตอบในเรื่องนี้ด้วยการโจมตีนักข่าวที่ถามคำถามว่า “ผมคิดว่าคุณเป็นนักข่าวที่แย่มาก” “ผมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ เจฟฟรีย์ เอปสตีน ผมไล่เขาออกจากคลับของผมเมื่อหลายปีก่อน เพราะผมคิดว่าเขาเป็นพวกวิปริตที่ป่วย แต่ผมเดาว่าผมคิดถูก”


ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign


ที่มา : bbc