รัสเซียโจมตียูเครนรอบใหม่ มุ่งเป้าโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ทำให้เกิดไฟดับเป็นวงกว้าง การโจมตียังโดนเขตที่อยู่อาศัยจนมีผู้เสียชีวิต 6 ศพด้วย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัสเซียส่งโดรนและยิงมิสไซล์โจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและเขตที่อยู่อาศัยในยูเครนรอบใหม่ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 6 ศพ บาดเจ็บอีกนับสิบราย และทำให้เกิดไฟดับและเครื่องทำความร้อนไม่ทำงานเป็นวงกว้าง

กองทัพอากาศยูเครนระบุว่า รัสเซียส่งโดรนติดระเบิดมาโจมตีมากกว่า 450 ลำ และยิงขีปนาวุธมา 45 ลูก โดยมีรายงานว่าพวกเขายิงขีปนาวุธตกไป 9 ลูก และยิงโดรนตกไป 406 ลำ

รวมแล้วรัสเซียโจมตีระลอกล่าสุดของรัสเซียโดนเป้าหมายในยูเครน 25 จุด รวมถึงในเมืองหลวงกรุงเคียฟ ขณะที่ตึกอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในเมืองดนีโปรก็ถูกโจมตี ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ศพ และบาดเจ็บอีก 2 คน ขณะที่มีผู้เสียชีวิต 3 ศพที่เมืองซาโปริชเชีย

น.ส.ยูเลีย สวิรีเดนโก นายกรัฐมนตรียูเครนกล่าวว่า สิ่งอำนวยความสะดวกด้านพลังงานขนาดใหญ่ ในแคว้นโปลตาวา, คาร์คิฟ และเคียฟ ได้รับความเสียหาย ขณะที่กระทรวงพลังงานยูเครนเผยว่า เกิดไฟฟ้าดับในแคว้นดนีโปรเปตรอฟสก์, เชอรนิฮิฟ, ซาโปริชเชีย, โอเดสซา และ คิโรโวห์รา ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการเพื่อฟื้นฟูระบบไฟฟ้า

ด้านกระทรวงกลาโหมรัสเซียอ้างว่า การโจมตีของพวกเขามุ่งเป้าไปที่กองทัพยูเครนไม่ใช่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และเมื่อคืนที่ผ่านมา กองทัพของพวกเขาก็ยิงโดรนของยูเครนตกไป 79 ลำด้วย

ทั้งนี้ การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนก่อนถึงฤดูหนาว กลายเป็นแผนการรบที่รัสเซียใช้ทุกปีนับตั้งแต่สงครามเริ่มขึ้นในปี 2565 ซึ่งเหล่ารัฐมนตรีของยูเครนต่างแสดงความกังวลอย่างยิ่งว่า มอสโกไม่ได้เพียงพยายามทำลายขวัญกำลังใจของยูเครนเท่านั้น แต่ยังพยายามทำให้เศรษฐกิจของประเทศหยุดชะงัก ด้วยการทำลายเครือข่ายพลังงาน

...

นักวิเคราะห์ระบุว่า ฤดูหนาวครั้งที่สี่ของการรุกรานเต็มรูปแบบของรัสเซียนี้ จะเป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับความสามารถในการป้องกันประเทศของยูเครน

นายโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กล่าวว่า การโจมตีเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการคว่ำบาตรพลังงานรัสเซียของชาติตะวันตก จะต้องไม่มีข้อยกเว้น

การโจมตีล่าสุดของรัสเซียเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ สหรัฐฯ ให้การยกเว้นประเทศฮังการีจากข้อจำกัดเรื่องการซื้อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียเป็นเวลา 1 ปี


ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign


ที่มา : bbc