โดนัลด์ ทรัมป์ กับ สี จิ้นผิง เตรียมประชุมสุดยอดร่วมกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยคาดกันว่าจะหารือกันเรื่องปัญหาต่างๆ ทั้ง ภาษี, TikTok, แร่หายาก, เฟนทานิล และสงครามรัสเซียยูเครน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คาดหวังว่าการประชุมกับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เกาหลีใต้ในวันพฤหัสบดี (30 ต.ค. 2568) จะสามารถ แก้ไข "ปัญหามากมาย" ระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้ ในขณะที่ความตึงเครียดของทั้งสองฝ่ายพุ่งสูง หลังสหรัฐฯ ขู่ตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีนอีก 100% ตอบโต้ที่แดนมังกรจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายากเพิ่มขึ้น
ตั้งแต่เดือนสิงหาคม เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีนเจรจาการค้ามาตลอด และมีการจัดทำกรอบข้อตกลงแล้ว โดยนายทรัมป์กล่าวในการประชุม APEC ที่เกาหลีใต้ว่า ข้อตกลงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนั้น จะเป็นผลดีและน่าตื่นเต้นสำหรับทุกคน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มีความคาดหวังเพียงเล็กน้อยว่า การพบกันครั้งนี้ จะมีการบรรลุข้อตกลงที่ฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศได้จริง
ทรัมป์-สี จิ้นผิง จะหารือกันเรื่องอะไรบ้าง?
...
คาดกันว่า ประเด็นที่ผู้นำทั้งสองคนจะหารือกันจะครอบคลุมถึงเรื่อง กำแพงภาษีทางการค้า, การลักลอบขนยาเฟนทานิล ซึ่งเป็นยาเสพติดที่คร่าชีวิตผู้คนในสหรัฐฯ ปีละหลายหมื่นคน, การควบคุมการส่งออกแร่หายาก (rare-earth) ของจีนกับการนำเข้าถั่วเหลืองสหรัฐฯ ของจีน
นอกจากนั้นยังมีเรื่อง การควบคุมการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ, ประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคง โดยเฉพาะ สงครามรัสเซียยูเครน และจุดยืนของสหรัฐฯ เรื่องไต้หวัน, ค่าธรรมเนียมท่าเรือสำหรับเรือจีนที่จอดเทียบท่าในสหรัฐฯ และการสรุปข้อตกลงเพื่อซื้อ TikTok
ศ.อเลฮานโดร เรเยส จากภาควิชาการเมืองและรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮ่องกงบอกกับ อัลจาซีรา ว่า สหรัฐฯ กับจีนต้องการที่จะ ประคับประคองความสัมพันธ์การเป็นคู่แข่งที่น่าหงุดหงิดใจนี้เอาไว้ แต่ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน
สำหรับสหรัฐฯ เป้าหมายคือการแสดงให้เห็นว่าท่าทีที่แข็งกร้าวต่อจีนของพวกเขานั้น “ได้ผลลัพธ์แล้ว” นายทรัมป์เข้าร่วมการประชุมสุดยอดนี้หลังจากลงนามข้อตกลงการค้ากับ มาเลเซีย, กัมพูชา และญี่ปุ่น เชื่อมโยงการเข้าถึงตลาดเข้ากับการร่วมมือด้านความมั่นคงแห่งชาติโดยตรง
ส่วนจีน สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญมากที่สุดคือ “การแสดงออกถึงความสงบและความอดทน” การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมเต็มคณะครั้งที่สี่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นการย้ำยืนยันอำนาจของผู้นำจีน สี จิ้นผิง และกำหนดทิศทางสำหรับแผนพัฒนาประเทศในอีก 5 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ศ.เรเยสกล่าวด้วยว่า การหารือเกี่ยวกับข้อพิพาทเรื่องกำแพงภาษีทางการค้า, แร่หายาก, เทคโนโลยี AI และยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนในปัจจุบันมากที่สุดนั้น จะไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย
ประเด็นที่เป็นอุปสรรคสำคัญ
-ยาเฟนทานิล
หนึ่งในประเด็นที่เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดคือเรื่อง ยาเฟนทานิล ซึ่งเป็นยาอันตรายที่ไหลเข้าสหรัฐฯ จากจีน ซึ่งนายทรัมป์เคยขึ้นภาษีสินค้าจีนในอัตรา 20% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อกดดันให้จีนเพิ่มการควบคุมการส่งออกสารตั้งต้นของยาชนิดนี้
น.ส.บอนนี เกลเซอร์ กรรมการผู้จัดการโครงการอินโด-แปซิฟิกของ German Marshall Fund of the United States (GMF) มองว่า ปัญหานี้เป็นประเด็นที่ขัดแย้งกันอย่างมาก แต่จีนอาจพร้อมให้ความร่วมมือในการปราบปรามการฟอกเงินของอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าเฟนทานิล
ขณะที่ The Wall Street Journal รายงานว่า ในการประชุมครั้งนี้ จีนอาจให้คำมั่นว่าจะควบคุมสารตั้งต้นในการผลิตเฟนทานิลมากขึ้น และหากบรรลุข้อตกลง ทรัมป์อาจลดภาษีที่เกี่ยวกับเฟนทานิลลงได้ถึง 10%
-กำแพงภาษีทางการค้า
...
หลังจากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีเรื่องเฟนทานิล จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าเกษตรสหรัฐฯ 15% ก่อนที่สงครามภาษีจะทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 145% และจีนโต้กลับที่ 125% แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะลดภาษีลงเหลือ 30% และ 10% และตกลงสงบศึกเป็นเวลา 90 วัน (ขยายเวลาไปแล้ว 2 ครั้ง) แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้จนถึงทุกวันนี้
-แร่หายากกับถั่วเหลือง
จีนจำกัดการส่งออกแร่หายาก 12 ชนิด (7 ชนิดในเดือนเมษายน และอีก 5 ชนิดในเดือนตุลาคม) และเครื่องจักรที่เกี่ยวข้อง โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงและเป็นการตอบโต้สหรัฐฯ โดยแร่หายากเหล่านี้ คือโลหะที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมกลาโหม และ AI ส่งผลให้นายทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีสินค้าจีน 100% และขู่ควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์ด้วย
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ คาดว่า จีนจะชะลอการจำกัดการส่งออกแร่หายาก และการขู่ขึ้นภาษี 100% อาจถูกยกเลิกไปพร้อมทั้งคาดว่าจีนจะตกลงเพิ่มการซื้อถั่วเหลืองสหรัฐฯ
ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าข้อพิพาทการค้านี้อาจมีทางออกที่ดี แต่ไม่เชื่อว่าความตึงเครียดพื้นฐานจะคลี่คลาย เพราะปัญหาอยู่ลึกกว่าเศรษฐกิจและต้องอาศัยการบริหารจัดการที่ดีและมองข้ามแนวคิดที่ว่า ผลประโยชน์ของคนอื่นจะเท่ากับผลขาดทุนของตัวเอง (zero-sum game)
...
-เทคโนโลยีและ TikTok
ในเดือนกันยายน นายทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อให้มีการ โอนทรัพย์สินของ TikTok ในสหรัฐฯ ไปยังนักลงทุนชาวสหรัฐฯ แล้ว โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ ขณะที่นายสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังกล่าวว่า สหรัฐฯ และจีน "บรรลุข้อตกลงสุดท้ายเกี่ยวกับ TikTok แล้ว" ซึ่งจะมีการสรุปในการประชุมนี้
แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะไม่ยุติความขัดแย้งเรื่องชิป, AI และการควบคุมทางดิจิทัล
ในเดือนตุลาคม สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำบริษัทเทคโนโลยีจีนหลายร้อยแห่ง และจำกัดการส่งออกชิป AI ขั้นสูงของ Nvidia ไปยังจีน ซึ่งทำให้ปักกิ่งไม่พอใจและเริ่ม สอบสวนการผูกขาดของ Nvidia และ Qualcomm ซึ่งนายทรัมป์กล่าวเมื่อวันพุธว่า เขาอาจจะหารือเรื่องชิป Nvidia กับสี จิ้นผิง ในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้
-ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์
ทรัมป์ต้องการใช้โอกาสนี้หารือกับสี จิ้นผิง เรื่องการยุติสงครามยูเครน แม้ว่าจีนจะเคยบอกว่า สงครามที่ยืดเยื้อในยูเครน "ไม่เป็นผลดีต่อผลประโยชน์ของใครเลย” แต่พวกเขาก็ย้ำว่า จีนไม่สามารถปล่อยให้รัสเซียแพ้สงครามในยูเครนได้ เนื่องจากสหรัฐฯ จะหันมาให้ความสนใจกับจีนแทน
ก่อนหน้านี้ นายทรัมป์เคยขู่คว่ำบาตรประเทศที่ซื้อน้ำมันรัสเซีย และได้ขึ้นภาษีอินเดียไปแล้ว 50% แต่ยังไม่ได้ดำเนินการกับจีน ทั้งที่แดนมังกรนำเข้าน้ำมันรัสเซียทางทะเลมากถึง 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม หลังจากสหรัฐฯ คว่ำบาตรบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดสองแห่งของมอสโก คือ Rosneft และ Lukoil ในเดือนตุลาคม บริษัทน้ำมันบางแห่งในจีนก็ระบุว่า จะงดเว้นจากการนำเข้าน้ำมันรัสเซียทางทะเลในระยะสั้น
นักวิเคราะห์คาดว่า ทรัมป์จะขอให้สี จิ้นผิง ช่วยกดดันปูตินให้เข้าร่วมโต๊ะเจรจา แต่ สี จิ้นผิง อาจจะลังเล ขณะที่ฝ่ายจีนจะหารือเรื่องจุดยืนของสหรัฐฯ ต่อไต้หวัน สี จิ้นผิง อาจกดดันให้ทรัมป์ยืนยันว่าสหรัฐฯ คัดค้านเอกราชของไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่น่าจะทอดทิ้งไต้หวัน เพราะต้องการเครดิตในการยุติสงครามไม่ใช่นำไปสู่สงคราม
...
อย่างไรก็ดี นายทรัมป์กล่าวก่อนเมื่อวันพุธ (29 ต.ค.) ว่า เขาไม่แน่ใจว่าจะหารือเรื่องไต้หวันหรือไม่
ฝ่ายไหนได้เปรียบกว่ากัน?
ดุลอำนาจการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-จีนมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน จำกัดการส่งออก เซมิคอนดักเตอร์ ให้จีน และนายทรัมป์ก็เพิ่มภาษีจีนเป็น 145% ทำให้จีนตอบโต้ด้วยภาษี 125% และ จำกัดการส่งออกโลหะหายากรวม 12 ชนิด
ทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามสร้างพันธมิตรทางการค้า จีนเสริมสร้างข้อตกลงกับ อาเซียน ขณะที่สหรัฐฯ ทำข้อตกลงใหม่กับ ญี่ปุ่น มาเลเซีย กัมพูชา และเกาหลีใต้ ทำให้นักวิเคราะห์ชี้ว่า ณ ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าฝ่ายใดได้เปรียบในการเจรจา
ส่วน ศ.เรเยส มองว่า สหรัฐฯ และจีนมีจุดแข็งต่างกัน สหรัฐฯ ได้เปรียบตรงที่สร้างเครือข่ายพันธมิตรใหม่ (เช่น ข้อตกลงกับมาเลเซีย) ซึ่งช่วยเสริมแรงขับเคลื่อนในการเจรจา แต่จีนมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ พวกเขายังคงเป็นแกนหลักของการผลิตโลก, ครองการแปรรูปแร่ธาตุสำคัญ และพิสูจน์แล้วว่าสามารถต้านทานกำแพงภาษีได้
สรุปคือ สหรัฐฯ มีอำนาจที่รวดเร็วและเสียงดัง แต่จีนมีความอดทนและมั่นคงกว่า สามารถอดทนได้นานกว่าหากความขัดแย้งยืดเยื้อ
ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร?
แม้ทรัมป์คาดว่านี่จะเป็นการประชุมที่ "ยอดเยี่ยม" แต่นักวิเคราะห์มีความคาดหวังเพียงเล็กน้อยว่า การพบกันครั้งนี้จะมีผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ใดๆ
ศ.เรเยสคาดว่า จะมีการ “สงบศึกชั่วคราว” และการประกาศชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ เช่น การชะลอภาษีหรือแถลงการณ์ร่วมเรื่องเสถียรภาพทางการค้า แต่การประชุมนี้จะไม่ยุติความเป็นคู่แข่ง หากเป็นการเริ่มต้นของ “เฟสใหม่” ในการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับความเป็นคู่แข่ง ในขณะที่สหรัฐฯ สร้างพันธมิตรผ่านสนธิสัญญา ส่วนจีนก็เพิ่มความเข้มแข็งด้วยความอดทน
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : aljazeera