เปิดเผยรายละเอียดหลังสหรัฐอเมริกาได้ลงนามในข้อตกลงชุดใหญ่ด้านการค้าและแร่ธาตุสำคัญ กับ 4 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายหลักในการแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทางการค้า และกระจายห่วงโซ่อุปทาน ท่ามกลางการคุมเข้มการส่งออกแร่หายากจากประเทศจีน
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันอาทิตย์ (26 ต.ค.) ได้ลงนามในข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนกับผู้นำมาเลเซียและกัมพูชา พร้อมทั้งลงนามในกรอบข้อตกลงการค้ากับประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ประเทศคู่สัญญาทำงานร่วมกันเพื่อจัดการกับอุปสรรคด้านภาษี และไม่ใช่ภาษี (non-tariff)
ตามแถลงการณ์ร่วมจากทำเนียบขาว ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว สหรัฐฯ จะคงอัตราภาษีนำเข้าที่ 19% สำหรับสินค้าจากทั้งสามประเทศ โดยมีแผนจะลดภาษีเป็นศูนย์สำหรับสินค้าบางประเภท
นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้ประกาศกรอบข้อตกลงที่คล้ายกันกับเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 20% โดยเวียดนาม ซึ่งมีสถิติเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ถึง 123,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว ได้ให้คำมั่นว่าจะเพิ่มการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ อย่างมาก เพื่อลดช่องว่างทางการค้าระหว่างสองประเทศ
มาเลเซียให้คำมั่น ไม่แบนส่งออกแร่หายากไปสหรัฐฯ
ในการประชุมครั้งนี้ นายทรัมป์ได้ลงนามข้อตกลงแยก 2 ฉบับกับ ไทย และ มาเลเซีย เพื่อความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ ท่ามกลางความพยายามแข่งขันจากปักกิ่งในภาคส่วนที่เติบโตอย่างรวดเร็วนี้
มาเลเซียได้ตกลงที่จะ ละเว้นการห้ามหรือการกำหนดโควตา ในการส่งออกแร่ธาตุสำคัญหรือแร่หายาก ไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าคำมั่นนี้มีผลบังคับใช้กับแร่หายากที่ยังไม่ผ่านการแปรรูปหรือแร่ที่ผ่านการแปรรูปแล้ว เนื่องจากปัจจุบันมาเลเซีย ซึ่งมีปริมาณสำรองแร่หายากประมาณ 16.1 ล้านตัน ได้สั่งห้ามการส่งออกแร่หายากดิบเพื่อป้องกันการสูญเสียทรัพยากร และส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมขั้นปลาย
...
การยกเลิกอุปสรรคภาษีและสิทธิพิเศษทางการตลาด
ภายใต้ข้อตกลงนี้ ทั้งสี่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้คำมั่นที่จะยกเลิกอุปสรรคทางการค้า และมอบสิทธิพิเศษทางการตลาดในการเข้าถึงสินค้าต่างๆ ของสหรัฐฯ ข้อตกลงยังครอบคลุมถึงความมุ่งมั่นในด้านการค้าดิจิทัล บริการ และการลงทุน รวมถึงคำมั่นสัญญาจากประเทศอาเซียนในการปกป้องสิทธิแรงงานและเสริมสร้างการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม ยังตกลงที่จะยอมรับยานพาหนะที่สร้างขึ้นตามมาตรฐานความปลอดภัยและการปล่อยมลพิษของรถยนต์ในสหรัฐฯ ขณะที่มาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในการรับรอง ฮาลาล ได้ตกลงที่จะปรับปรุงข้อกำหนดสำหรับผลิตภัณฑ์ของสหรัฐฯ เช่น เครื่องสำอางและยา
ไทย ได้ให้คำมั่นที่จะยกเลิกอุปสรรคทางภาษีสำหรับสินค้าประมาณ 99% และจะผ่อนปรนข้อจำกัดความเป็นเจ้าของของต่างชาติสำหรับการลงทุนของสหรัฐฯ ในภาคโทรคมนาคม
มีการรับทราบถึงข้อตกลงทางการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างบริษัทไทยและสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการซื้อสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลือง มูลค่าประมาณ 2,600 ล้านดอลลาร์ต่อปี นอกจากนี้ ไทยยังให้คำมั่นว่าจะซื้อเครื่องบินของสหรัฐฯ จำนวน 80 ลำ มูลค่ารวม 18,800 ล้านดอลลาร์ และสินค้าพลังงาน รวมถึงก๊าซธรรมชาติเหลวและน้ำมันดิบ ประมาณ 5,400 ล้านดอลลาร์ต่อปี
มาเลเซีย ได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับอุปกรณ์การบินและอวกาศและผลิตภัณฑ์ยา ตลอดจนสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันปาล์ม โกโก้ และยางพารา
ข้อตกลงทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่นายทรัมป์ได้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนาม ข้อตกลงหยุดยิงที่ได้รับการยกระดับ ระหว่างไทยและกัมพูชา หลังเกิดการปะทะกันบริเวณชายแดนที่คร่าชีวิตผู้คนไปก่อนหน้านี้ในปีนี้.
ที่มา Reuters