ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เดินทางถึงมาเลเซียแล้ว เมื่อเวลา 09.54 น. ตามเวลาท้องวถิ่น เพื่อเริ่มต้นภารกิจทัวร์เอเชีย โดยมีกำหนดการสำคัญคือการเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน และเป็นสักขีพยานการลงนามประกาศความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา ที่สหรัฐฯ เป็นคนกลางในการเจรจา ขณะเดียวกัน ตลาดโลกต่างจับตาการพบปะครั้งสำคัญกับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เพื่อยุติสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ
ในมาเลเซียวันนี้ (26 ต.ค.) ประธานาธิบดีทรัมป์มีกำหนดการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งเป็นเวทีที่เขาเคยข้ามการเข้าร่วมมาแล้วหลายครั้งในสมัยแรก และยังเตรียมลงนามข้อตกลงการค้ากับมาเลเซียด้วย
สิ่งที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ ทรัมป์จะเข้าร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามประกาศความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา หลังความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยทรัมป์ประกาศผ่านโซเชียลมีเดียว่า "เราจะลงนามในข้อตกลงทันทีที่เดินทางมาถึง" ซึ่งเป็นข้อตกลงที่เขามีส่วนช่วยในการเป็นคนกลางเจรจา
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังคาดว่าจะพบกับประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล นอกรอบการประชุมสุดยอดอาเซียน เพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์กับผู้นำบราซิล หลังจากที่ความสัมพันธ์เป็นไปอย่างตึงเครียดมานานหลายเดือน
หลังเสร็จสิ้นภารกิจที่มาเลเซีย ประธานาธิบดีทรัมป์มีกำหนดเดินทางต่อไปยังกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในวันจันทร์ และจะพบกับนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ ในวันอังคาร ทรัมป์กล่าวชื่นชมผู้นำญี่ปุ่นคนใหม่ และยกย่องที่เธอเป็นผู้สืบทอดแนวคิดของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ซึ่งทรัมป์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดด้วย
ไฮไลต์สำคัญของการทัวร์เอเชียครั้งนี้คือที่เกาหลีใต้ ซึ่งทรัมป์จะเดินทางถึงเมืองปูซานในวันพุธ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) และจะมีการพบกับ ประธานาธิบดี อี แจ มยอง ของเกาหลีใต้
...
ในวันพฤหัสบดี ตลาดโลกจะจับตาการพบกันของทรัมป์กับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน อย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าการประชุมครั้งแรกนับตั้งแต่ทรัมป์กลับคืนสู่ทำเนียบขาวจะสามารถยุติสงครามการค้าที่เกิดจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ได้หรือไม่
ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีรวมชาติของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า มีโอกาส "เป็นไปได้สูง" ที่ทรัมป์จะพบกับ นายคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ระหว่างอยู่ในคาบสมุทรเกาหลีด้วย ซึ่งจะเป็นการพบกันครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2562 และเกิดขึ้นหลังทรัมป์เองก็กล่าวว่าเขา "เปิดรับ" ความเป็นไปได้ดังกล่าว.
ที่มา AFP