มากกว่า 60 ประเทศร่วมลงนามสนธิสัญญาอาชญากรรมไซเบอร์ฉบับแรกขององค์การสหประชาชาติ ท่ามกลางเสียงต่อต้านจากทั้งกลุ่มสิทธิฯ และบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่
เมื่อวันเสาร์ที่ 25 ต.ค. 2568 มากกว่า 60 ประเทศร่วมลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ฉบับแรกขององค์การสหประชาชาติ ที่การประชุมในกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม แม้จะมีเสียงคัดค้านจากกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี และกลุ่มสิทธิมนุษยชน ที่เตือนว่าสนธิสัญญานี้อาจทำให้ขอบเขตการสอดแนมของรัฐเพิ่มขึ้น
กรอบกฎหมายระดับโลกฉบับใหม่นี้ มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อสู้กับอาชญากรรมดิจิทัล ตั้งแต่สื่อลามกอนาจารเด็ก ไปจนถึงการหลอกลวงทางไซเบอร์ข้ามชาติและการฟอกเงิน
รัฐบาลเวียดนามยืนยันว่า มีมากกว่า 60 ประเทศที่เข้าร่วมลงนามในสนธิสัญญาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่ไม่ระบุว่ามีประเทศใดบ้าง โดยข้อตกลงนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ทันทีหลังจากประเทศเหล่านั้นให้สัตยาบัน
นาย อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติกล่าวว่า การลงนามครั้งนี้เป็น "หมุดหมายสำคัญ" แต่ก็เตือนด้วยว่า นี่เป็นเพียงแค่ "จุดเริ่มต้น” เท่านั้น
"ทุก ๆ วัน การหลอกลวงที่ซับซ้อนได้ทำลายครอบครัว ปล้นจากผู้อพยพ และดูดเงินหลายพันล้านดอลลาร์ออกจากเศรษฐกิจของเรา ... เราจำเป็นต้องมีการตอบสนองระดับโลกที่แข็งแกร่งและเชื่อมโยงกัน" นายกูเตร์เรสกล่าวในพิธีเปิดการประชุมที่เมืองหลวงของเวียดนามเมื่อวันเสาร์
ทั้งนี้ สนธิสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (UN Convention against Cybercrime) ถูกเสนอขึ้นครั้งแรกโดยนักการทูตรัสเซียในปี 2017 และได้รับอนุมัติด้วยฉันทามติเมื่อปีที่แล้วหลังจากการเจรจาที่ยาวนาน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ต่อต้านมองว่า ภาษาที่ใช้ในสัญญานั้นกว้างขวางมาก จนอาจนำไปสู่การใช้อำนาจในทางที่ผิด และเปิดช่องให้มีการปราบปรามผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลข้ามพรมแดนได้
...
"มีข้อกังวลมากมายที่ถูกหยิบยกขึ้นตลอดการเจรจาสนธิสัญญา เกี่ยวกับวิธีที่มันจะบังคับให้บริษัทต่าง ๆ ต้องแบ่งปันข้อมูลในท้ายที่สุด" ซาบานาซ ราชิด ดียา ผู้ก่อตั้งสถาบันวิจัย “Tech Global Institute” กล่าว "มันแทบจะเป็นการประทับตราอนุมัติให้กับแนวปฏิบัติที่เป็นปัญหาอย่างมาก ซึ่งถูกนำไปใช้กับนักข่าวและในประเทศที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ"
กลุ่มสิทธิมนุษยชนนับสิบกลุ่มยังระบุในจดหมายที่พวกเขาลงนามร่วมกันว่า ความคุ้มครองที่สนธิสัญญาฉบับนี้มอบให้นั้น “อ่อนแอ” เกินไป
ส่วนบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ก็ออกมาแสดงความกังวลเช่นกัน
นาย นิค แอชตัน-ฮาร์ท หัวหน้าคณะผู้แทนของ Cybersecurity Tech Accord (CTA) ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทมากกว่า 160 แห่ง รวมถึง Meta, Dell และ Infosys ของอินเดีย ที่ไปร่วมเจรจาสนธิสัญญาฉบับนี้กล่าวก่อนหน้านี้ว่า คณะผู้แทนจะไม่เข้าร่วมการลงนามสนธิสัญญาในกรุงฮานอย
บริษัทเทคโนโลยีเคยเตือนว่า สนธิสัญญาดังกล่าวอาจทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์กลายเป็นอาชญากร และ "อนุญาตให้รัฐต่าง ๆ ร่วมมือกันในการกระทำความผิดทางอาญาเกือบทุกอย่างที่พวกเขาเลือกจะทำ"
CTA กล่าวระหว่างกระบวนการเจรจาว่า การที่หน่วยงานภาครัฐสามารถใช้อำนาจเกินขอบเขตนั้นก่อให้เกิด "ความเสี่ยงร้ายแรงต่อระบบไอทีของบริษัทที่ผู้คนหลายพันล้านคนต้องพึ่งพาในทุก ๆ วัน"
แอชตัน-ฮาร์ทกล่าวด้วยว่า ข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีอยู่แล้วอย่างอนุสัญญาบูดาเปสต์ว่าด้วยอาชญากรรมไซเบอร์ (Budapest Convention on Cybercrime) มีแนวทางในการใช้ในลักษณะที่ "เคารพสิทธิ" มากกว่า
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : cna