กัมพูชาเผย ปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมไซเบอร์ทั่วประเทศระหว่างเดือนมิ.ย.ถึงต.ค. 2568 จับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 3,400 คนจาก 20 ชาติ พร้อมส่งดำเนินคดีในคดีใหญ่ 10 คดี รวมถึงคดีฆาตกรรมและค้ามนุษย์
วันที่ 16 ตุลาคม 2568 สำนักเลขาธิการ คณะกรรมาธิการแห่งชาติกัมพูชาเพื่อปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ แถลงผลปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมไซเบอร์ทั่วประเทศ ที่ดำเนินระหว่างวันที่ 27 มิถุนายน ถึง 14 ตุลาคม 2568 ซึ่งถือเป็นปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่สุดของปี
หน่วยบัญชาการระดับจังหวัดและเมืองหลวงภายใต้การกำกับของคณะกรรมาธิการฯ ได้บุกตรวจค้นและปิดล้อม 92 จุดใน 18 จังหวัดและนครหลวงพนมเปญ สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้รวม 3,455 คน จาก 20 สัญชาติ ได้แก่ จีน (รวมไต้หวัน) เวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย บังกลาเทศ ไทย เกาหลีใต้ ปากีสถาน เนปาล มาเลเซีย ญี่ปุ่น เมียนมา ฟิลิปปินส์ ลาว แคเมอรูน ไนจีเรีย ยูกันดา เซียร์ราลีโอน มองโกเลีย และรัสเซีย
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดของกลางจำนวนมาก รวมถึงโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หนังสือเดินทาง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นับพันชิ้น พร้อมปิดพื้นที่เกิดเหตุทั้งหมดไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าถึง พร้อมกันนี้ยังร่วมมือกับประเทศคู่พันธมิตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกัมพูชา เพื่อตรวจสอบหลักฐานทั้งหมดอย่างละเอียดเพื่อสืบหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังเครือข่ายข้ามชาติ และวางแนวทางปราบปรามเพิ่มเติมในอนาคต
ในจำนวนนี้มี 10 คดีสำคัญ ถูกส่งดำเนินคดีในศาลของกรุงพนมเปญ จังหวัดกันดาล พระสีหนุ และกำปอต โดยมีผู้ต้องหาหลักรวม 75 คน (ในนั้นเป็นผู้หญิง 5 คน) ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดี หลอกลวงออนไลน์ ฆาตกรรม และค้ามนุษย์ ถือเป็นหนึ่งในการดำเนินคดีครั้งใหญ่สุดของปีนี้
...
รัฐบาลกัมพูชาระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้ ส่งตัวคนต่างชาติกลับประเทศ 2,825 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้หญิง 476 คน และสามารถช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ออกจากเครือข่ายอาชญากรรมได้หลายราย ซึ่งผลการดำเนินการครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึง ความมุ่งมั่นอย่างเข้มแข็งของรัฐบาลในการขจัดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีออกจากประเทศ พร้อมย้ำว่ากัมพูชาเองก็เป็นหนึ่งในเหยื่อของอาชญากรรมประเภทนี้เช่นกัน
ทั้งนี้ สมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ประกาศเปิด “แคมเปญระดับชาติปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์” เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 โดยสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยความมั่นคงทุกระดับต้องรับผิดชอบเต็มที่ หากละเลยหรือล้มเหลวในการปฏิบัติตามคำสั่ง อาจถูกพิจารณาย้ายหรือปลดจากตำแหน่ง.
ที่มา Freshnews