กองทัพรัสเซีย ได้เปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่ระลอกล่าสุดต่อระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครน เมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยมุ่งเป้าไปที่โรงงานก๊าซในภาคตะวันออก ทำให้เกิดไฟฟ้าดับและระบบหยุดชะงักใน 8 ภูมิภาค

ปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียได้โจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนอย่างต่อเนื่องในฤดูหนาวของทุกปี นับตั้งแต่การรุกรานยูเครนในปี 2022 ส่งผลให้ยูเครนต้องประกาศตัดไฟฟ้าฉุกเฉินและต้องนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ

นายเซร์กิย โคเรตสกี ซีอีโอของบริษัท นาฟโตก๊าซ (Naftogaz) ระบุในแถลงการณ์ว่า "เกิดความเสียหายและการทำลายในหลายภูมิภาคพร้อมกัน การดำเนินการของสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีความสำคัญอย่างยิ่งหลายแห่งต้องหยุดชะงักลง" โดยผู้ดำเนินการโครงข่ายพลังงานยูเครนได้ประกาศตัดไฟฟ้าฉุกเฉินใน 8 ภูมิภาค หลังจากการโจมตีในวันพฤหัสบดี

นายโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ยืนยันว่า "มีผู้ได้รับบาดเจ็บ" และมีการเร่งดำเนินการฟื้นฟู และหน่วยบริการฉุกเฉินกำลังทำงานอยู่ทุกพื้นที่

กองทัพอากาศยูเครนระบุว่า การระดมยิงของรัสเซียครั้งนี้ประกอบด้วย โดรน 320 ลำ และขีปนาวุธ 37 ลูก โดยสามารถสกัดโดรนได้ 283 ลำ และขีปนาวุธ 5 ลูก การโจมตีส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่ภูมิภาคคาร์คิฟทางตอนเหนือ และภูมิภาคปอลตาวาทางตะวันออก ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตก๊าซของบริษัทพลังงานเอกชนรายใหญ่ที่สุดของประเทศอย่าง DTEK ซึ่งถูกปิดตัวลง

มีรายงานก่อนหน้านี้ว่า การโจมตีของรัสเซียทำให้การผลิตก๊าซของยูเครนต้องหยุดชะงักไปประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ และการโจมตีโรงไฟฟ้าทำให้ประชาชนหลายแสนคนไม่มีไฟฟ้าใช้

ประธานาธิบดีเซเลนสกี ซึ่งมีกำหนดเข้าพบประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำเนียบขาวในวันศุกร์นี้ ได้กล่าวเรียกร้องให้ชาติตะวันตกดำเนินการ "กดดัน" ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียต่อไป

...

ความกดดันดังกล่าวรวมถึงการ คว่ำบาตร และยังอาจรวมถึงการส่งมอบ ขีดความสามารถพิสัยไกล ให้แก่กองทัพยูเครน เพื่อโจมตีเป้าหมายที่อยู่ลึกเข้าไปในรัสเซียได้อีกด้วย

ทั้งนี้ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ได้ออกหมายจับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพรัสเซีย 2 ราย เมื่อปีที่แล้ว จากกรณีการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครน โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็น "อาชญากรรมสงคราม" และสร้างความเสียหายต่อพลเรือนอย่าง "เกินกว่าเหตุ".


ที่มา ABC News