ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ได้ตกลงที่จะยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย เพื่อสนับสนุนการกดดันทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาลรัสเซียในการยุติสงครามยูเครน ท่ามกลางความตึงเครียดทางการทูตระหว่างสองประเทศที่ดำเนินมาหลายเดือน โดยทรัมป์ระบุว่า กระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้จะเกิดขึ้น "ในเวลาอันสั้น"
ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เขาได้รับการรับรองจากนายโมดีว่าอินเดียจะระงับการซื้อน้ำมันดังกล่าว "ภายในระยะเวลาอันสั้น" ซึ่งทรัมป์เรียกว่าเป็น "การหยุดครั้งใหญ่" ทั้งนี้ โฆษกสถานทูตอินเดียในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้
น้ำมันและก๊าซเป็นสินค้าส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซีย โดยมีลูกค้าหลักคือ จีน อินเดีย และตุรกี ซึ่งทรัมป์ระบุว่า หลังจากนี้เขาจะต้องดำเนินการให้จีนทำแบบเดียวกัน เพื่อตัดแหล่งเงินทุนด้านพลังงานของรัสเซีย
ก่อนหน้านี้ ความพยายามของทรัมป์ที่จะใช้อำนาจต่อรองเรื่องการซื้อน้ำมันรัสเซียของอินเดียในสงครามการค้าได้เผชิญกับการต่อต้านอย่างหนักจากอินเดีย ซึ่งสร้างความร้าวฉานทางการทูต
อินเดียพึ่งพาน้ำมันดิบของรัสเซีย ซึ่งยังคงซื้อในราคาที่ได้รับส่วนลด เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีโมดีได้ยืนกรานมานานหลายเดือนว่า อินเดียวางตัวเป็นกลางในสงครามรัสเซีย-ยูเครน แม้จะมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้นำรัสเซียอย่างวลาดิมีร์ ปูติน
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ได้ออกมายอมรับว่า อินเดียไม่สามารถหยุดการซื้อน้ำมันได้ "ในทันที" แต่การเปลี่ยนผ่านนี้จะเป็น "กระบวนการเล็กน้อย แต่กระบวนการดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า"
ที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์ได้ตอบโต้การซื้อน้ำมันและอาวุธจากรัสเซียของอินเดีย ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้าจากอินเดียในอัตรา 50% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในโลก โดยมาตรการภาษีดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคม และรวมถึงการลงโทษปรับ 25% สำหรับการทำธุรกรรมกับรัสเซีย ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญสำหรับสงครามยูเครน
...
แม้ว่าความขัดแย้งเรื่องน้ำมันรัสเซียจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์และโมดีตึงเครียด แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ยังคงกล่าวชื่นชมผู้นำอินเดียว่าเป็น "บุรุษผู้ยิ่งใหญ่" และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โมดีเองก็เคยกล่าวว่าเขาได้พูดคุยกับทรัมป์ และได้ "ทบทวนความก้าวหน้าที่ดีที่ประสบความสำเร็จในการเจรจาทางการค้า".
ที่มา BBC