ตลาดเงินคริปโตเริ่มฟื้นในวันอาทิตย์ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ กับรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ พยายามคลายความตึงเครียดเรื่องสงครามการค้ากับจีน โดยนายทรัมป์โพสต์ว่า “ทุกอย่างจะไม่เป็นไร”
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 ต.ค. 2568 มูลค่าเงินคริปโตหลายเจ้าปรับตัวสูงขึ้น หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พยายามคลายความตึงเครียดทางการทูตกับจีน โดยโพสต์ข้อความผ่าน Truth Social ว่า “ทุกอย่างจะไม่เป็นไร” หลังจากเขาเพิ่งขู่จะตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากแดนมังกรในอัตราสูงถึง 100%
โพสต์ของนายทรัมป์ระบุว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องจีนหรอก ทุกอย่างจะไม่เป็นไร! (ผม) เคารพประธานาธิบดีสีสุดๆ แค่มีช่วงเวลาที่แย่เท่านั้น เขาไม่ต้องการให้เศรษฐกิจประเทศถดถอยหรอก ผมก็เหมือนกัน สหรัฐอเมริกาต้องการช่วยจีน ไม่ใช่ทำร้าย!!!”
หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกมาราวช่วงเที่ยงวันอาทิตย์ (ตามเวลาสหรัฐฯ) ค่าเงินดิจิตอล บิตคอยน์ (Bitcoin) ก็เพิ่มขึ้น 3% ขณะที่ อีเธอเรียม (Ethereum) เพิ่มขึ้น 10%
ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดสกุลเงินดิจิทัลประสบกับการ “ล้างพอร์ต” ครั้งประวัติศาสตร์ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีน 100% และควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์ เพื่อตอบโต้ที่จีนเพิ่มการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นปมขัดแย้งระหว่างสองประเทศมานาน
บิตคอยน์ (Bitcoin) ซึ่งเคยทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่สูงกว่า 125,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงต้นสัปดาห์ ได้ดิ่งลงกว่า 12% ในวันศุกร์ จนมาซื้อขายต่ำกว่า 113,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภายในเช้าวันเสาร์ตามเวลาลอนดอน ส่งผลให้นักเทรดกว่า 1.6 ล้านรายโดนล้างพอร์ตภายในเวลา 24 ชั่วโมง คาดว่าสร้างความเสียหายรวมกว่า 6 แสนล้านบาท
แต่ค่าเงินคริปโตเริ่มฟื้นตัวขึ้นในช่วงเช้าวันอาทิตย์ หลังจากนาย เจ.ดี. แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า ประธานาธิบดีเตรียมพร้อมที่จะใช้แนวทางที่ "สมเหตุสมผล" ในการเจรจาทางการค้ากับจีน ซึ่งช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนเรื่องความตึงเครียดกับจีนได้บ้าง
...
“มันจะเป็นการเต้นรำที่ละเอียดอ่อน และส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับว่า จีนตอบสนองอย่างไร” นายแวนซ์กล่าวในรายการ Sunday Morning Futures ของ Fox News “หากพวกเขาตอบสนองอย่างแข็งกร้าวมาก ผมขอรับรองกับคุณเลยว่า ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ มีไพ่ในมือให้ใช้มากกว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนแน่นอน แต่ถ้าพวกเขามีเหตุผล สหรัฐฯ ก็จะมีเหตุผลเช่นกัน”
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : seekingalpha