ดีลประวัติศาสตร์เพื่อยุติสงครามกาซาเกิดขึ้น หลังโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศข้อตกลงปล่อยตัวประกันทั้งหมด ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่รัฐบาลโจ ไบเดน พยายามเกือบสองปีแต่ล้มเหลว นักวิเคราะห์ชี้ ปัจจัยสำคัญมาจากความสัมพันธ์แน่นแฟ้นของทรัมป์กับผู้นำอิสราเอลและประเทศอาหรับ รวมถึงแรงกดดันจากยุโรปและอาหรับที่ต้องการยุติความรุนแรง
เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลต่อทีมเจรจาของกลุ่มฮามาส ในประเทศกาตาร์ ดูเหมือนจะเป็นการยกระดับความขัดแย้งที่ยิ่งผลักดันโอกาสแห่งสันติภาพให้ห่างไกลออกไป การโจมตีดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของพันธมิตรสหรัฐฯ และเสี่ยงที่จะขยายสงครามไปทั่วภูมิภาค จนดูเหมือนว่าการเจรจาทางการทูตได้พังทลายลงแล้ว
แต่กลับกลายเป็นว่า เหตุการณ์นี้คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่ข้อตกลงการปล่อยตัวประกันที่เหลือทั้งหมด ซึ่งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศในที่สุด ความสำเร็จนี้เป็นเป้าหมายที่ทั้งตัวเขาและอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต่างพยายามผลักดันมาเกือบสองปี
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงก้าวแรกสู่สันติภาพที่ยั่งยืน และรายละเอียดเกี่ยวกับการปลดอาวุธของฮามาส การบริหารกาซา และการถอนทหารอิสราเอลอย่างสมบูรณ์ยังคงต้องเจรจาต่อ แต่หากข้อตกลงนี้เป็นผลสำเร็จ นี่อาจกลายเป็น ผลงานชิ้นโบว์แดง ที่สำคัญที่สุดของทรัมป์ในสมัยที่สอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมงานของไบเดนไม่สามารถบรรลุได้ สไตล์เฉพาะตัวของทรัมป์ และความสัมพันธ์ที่สำคัญกับอิสราเอลและโลกอาหรับ ดูเหมือนจะเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความก้าวหน้าครั้งนี้
ความสัมพันธ์แนบแน่นที่ไบเดนไม่เคยมี
ความสัมพันธ์อันอบอุ่นระหว่างทรัมป์กับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนมาตลอด ทรัมป์เคยย้ายสถานทูตสหรัฐฯ จากเทลอาวีฟไปเยรูซาเลม และยังสนับสนุนอิสราเอลอย่างเปิดเผยในการโจมตีอิหร่านเมื่อเดือนมิถุนายน
...
การสนับสนุนอย่างเปิดเผยเหล่านี้ อาจทำให้ทรัมป์มีพื้นที่ในการกดดันอิสราเอลอย่างลับๆ โดยมีรายงานว่า ผู้เจรจาของทรัมป์ได้กดดันเนทันยาฮูอย่างหนัก จนต้องยอมรับการหยุดยิงชั่วคราวเพื่อแลกกับการปล่อยตัวประกันบางส่วน และการที่ทรัมป์ได้ออกโรงกดดันนายกรัฐมนตรีอิสราเอลถึงขั้นที่ไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใดทำมาก่อน สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลที่ทรัมป์มีเหนือผู้นำอิสราเอล
ในทางตรงกันข้าม ความสัมพันธ์ของไบเดนกับรัฐบาลเนทันยาฮูมีความตึงเครียดมากกว่า ไบเดนต้องระมัดระวังทุกก้าวเดิน เนื่องจากความแตกแยกทางการเมืองภายในพรรคเดโมแครตเกี่ยวกับสงครามกาซา ในขณะที่ทรัมป์ได้รับแรงสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากฐานเสียงพรรครีพับลิกัน ทำให้เขามีอิสระในการดำเนินงานทางการทูตมากกว่า
สายสัมพันธ์ทางธุรกิจช่วยหนุนการสนับสนุนจากชาติอาหรับ
หลังจากการโจมตีของอิสราเอลในโดฮา ซึ่งทำให้พลเมืองกาตาร์เสียชีวิต ทรัมป์ได้ยื่นคำขาดต่อเนทันยาฮูว่า สงครามต้องยุติลง การโจมตีบนแผ่นดินกาตาร์ถือเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง และทำให้ทรัมป์มีแนวโน้มเข้าใกล้จุดยืนของชาติอาหรับในการยุติสงคราม
ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของทรัมป์กับรัฐกลุ่มประเทศอ่าว ซึ่งมีทั้งการดำเนินธุรกิจกับกาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตลอดจนการเยือนซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และเอมิเรตส์ ในปีนี้ ได้ช่วยเปลี่ยนแนวคิดของเขา ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การที่ทรัมป์ไม่แวะเยือนอิสราเอลแต่ไปเยือนเมืองหลวงของประเทศในคาบสมุทรอาหรับ ทำให้เขาได้รับฟังเสียงเรียกร้องซ้ำๆ ให้ยุติสงคราม
ภายในหนึ่งเดือนหลังการโจมตีในโดฮา นายกฯ เนทันยาฮูได้โทรศัพท์ขอโทษกาตาร์ด้วยตนเอง และในวันเดียวกันนั้น ผู้นำอิสราเอลได้ลงนามในแผนสันติภาพ 20 ข้อของทรัมป์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากชาติมุสลิมสำคัญในภูมิภาค
นักวิเคราะห์ชี้ว่า หากความสัมพันธ์ของทรัมป์กับเนทันยาฮูเปิดโอกาสให้เขากดดันอิสราเอลได้ ประวัติความสัมพันธ์กับผู้นำมุสลิมก็ช่วยให้ทรัมป์ได้รับการสนับสนุนจากพวกเขา และอาจช่วยให้พวกเขาโน้มน้าวให้ฮามาสยอมรับข้อตกลงได้
อิทธิพลของยุโรปกดดันอิสราเอล
การประณามอิสราเอลจากทั่วโลกต่อการปฏิบัติการในกาซา ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของทรัมป์เช่นกัน เนื่องจากสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในกาซาเลวร้ายถึงขีดสุด ทำให้รัฐบาลเนทันยาฮูโดดเดี่ยวในระดับนานาชาติมากขึ้น
เมื่ออิสราเอลเข้าควบคุมเส้นทางเสบียงอาหาร และประกาศแผนโจมตีเมืองกาซาซิตี ประเทศสำคัญในยุโรป นำโดยประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ได้ตัดสินใจที่จะไม่ยึดมั่นในจุดยืนสนับสนุนอิสราเอลอย่างไม่มีเงื่อนไขของวอชิงตันอีกต่อไป นำไปสู่ความแตกแยกครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรยุโรป
ในที่สุด ทรัมป์ต้องเผชิญกับทางเลือกระหว่างพันธมิตรยุโรป-อาหรับ กับกลุ่มชาตินิยมและฝ่ายขวาจัดของอิสราเอล และทรัมป์ได้เลือกพันธมิตรในกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ ข้อตกลงสันติภาพของฝรั่งเศส-ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทรัมป์ มีการอ้างถึงการจัดตั้ง "รัฐปาเลสไตน์" ในอนาคต ทำให้ทรัมป์บีบเนทันยาฮูอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อให้ยุติสงคราม
แม้ว่าสไตล์การทูตที่ฉีกแนวของทรัมป์มักจะสร้างความตกตะลึง แต่สุดท้ายก็สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นที่ยอมรับได้ในที่สุด ซึ่งในสถานการณ์นี้ การดำเนินงานที่ดูไม่เป็นไปตามแบบแผนของเขา ได้พิสูจน์แล้วว่า มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการสามารถปลดล็อกทางตันที่ยืดเยื้อมานานได้สำเร็จ
ข้อตกลงนี้ทำให้อิสราเอลตกลงที่จะปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์กว่า 1,000 คน และถอนทหารบางส่วนออกจากกาซา ส่วนฮามาสจะปล่อยตัวประกันที่เหลือทั้งหมด ทั้งที่ยังมีชีวิตและเสียชีวิต ที่ถูกจับไปในระหว่างการโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 และทำให้การสิ้นสุดของสงครามในกาซาซึ่งคร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ไปแล้วกว่า 67,000 คน เป็นไปได้ในที่สุด.
...
ที่มา BBC