• พารามอเตอร์กลายมาเป็นอาวุธสังหารล่าสุดของกองทัพพม่า โดยเป็นยุทโธปกรณ์ต้นทุนต่ำ แต่ก็ยังสร้างความสูญเสียได้ไม่น้อย  กลายเป็นภัยคุกคามชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ท่ามกลางสงครามกลางเมือง
  • เหตุโจมตีประชาชนในงานเทศกาลตะดิ่งจุ๊ต ไม่ใช่การใช้พารามอเตอร์โจมตีเป้าหมายครั้งแรก เฉพาะในเดือนมกราคม 2025 เพียงเดือนเดียว มีรายงานการโจมตีด้วยพารามอเตอร์ถึง 8 ครั้งในเขตตองทะห์, พะเล็ตตวา และสะกาย ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 9 คน 
  • ทหารสามารถฝึกควบคุมพารามอเตอร์ได้ภายในเวลาไม่กี่วัน ต่างจากนักบินเครื่องบินรบที่ต้องฝึกหลายปี กองทัพพม่าจึงตั้งศูนย์ฝึกและฐานบินหลายแห่งเพื่อเตรียมพลร่มเหล่านี้

เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ที่เมืองชองอูในภูมิภาคสะกาย ทางตอนกลางของเมียนมา เกิดเหตุสะเทือนขวัญกลางงานเทศกาลตะดิ่งจุ๊ต หรือเทศกาลวันเพ็ญเดือนสิบ หลังจากเครื่องพารามอเตอร์ หรือร่มบินติดเครื่องยนต์ ซึ่งกองทัพพม่า (เมียนมา) ใช้เป็นอาวุธทางอากาศรูปแบบใหม่ บินเหนือศีรษะผู้คนเกือบร้อยคนที่มาร่วมจุดเทียนฉลองและแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลทหาร แล้วทิ้งระเบิดลงใส่ฝูงชน

เหตุโจมตีเกิดขึ้นเพียง 7 นาที แต่ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 คน และบาดเจ็บอีกหลายสิบราย หนึ่งในผู้รอดชีวิตวัย 30 ปีเล่าว่า ตอนนั้นเขาคิดว่าขาเขาขาดไปแล้ว เขาต้องคลานไปซ่อนในคูน้ำจนเพื่อนมาช่วย พร้อมประณามว่านี่คือการสังหารหมู่ และกองทัพทำมันอย่างเปิดเผย

พารามอเตอร์คืออะไร? อาวุธราคาถูกแต่สังหารได้จริง

พารามอเตอร์คือ ร่มบินติดเครื่องยนต์ที่นักบินสามารถควบคุมทิศทางได้เอง มักใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กและสามารถบรรทุกน้ำหนักเฉลี่ยราว 160 กิโลกรัม หรือเทียบเท่ากับพลร่มพร้อมระเบิดหลายลูก

...

ข้อมูลจากสหประชาชาติระบุว่า พารามอเตอร์ของกองทัพพม่า (เมียนมา) มักติดตั้งระเบิดขนาด 120 มม. หนักราว 16 กิโลกรัมต่อชิ้น และสามารถบินได้ต่ำกว่า 300 เมตร ทำให้เล็งเป้าหมายได้แม่นยำกว่าการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินรบทั่วไป

เครื่องพารามอเตอร์ 1 ลำสามารถบินได้นานถึง 3 ชั่วโมง ใช้น้ำมันทั่วไป และมีระบบ GPS นำทาง ซึ่งเพียงพอสำหรับโจมตีเป้าหมายในระยะประชิด

นอกจากนี้ ทหารสามารถฝึกควบคุมพารามอเตอร์ได้ภายในเวลาไม่กี่วัน ต่างจากนักบินเครื่องบินรบที่ต้องฝึกหลายปี กองทัพเมียนมาจึงตั้งศูนย์ฝึกและฐานบินหลายแห่งเพื่อเตรียมพลร่มเหล่านี้

แหล่งข่าวด้านความมั่นคงเผยว่า พารามอเตอร์จำนวนมากถูกผลิตใน โรงงาน Heavy Industry No.10 ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของกองทัพที่รับผิดชอบการผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของพารามอเตอร์คือ บินช้า คือบินได้ไม่เกิน 65 กม./ชม. และเสียงดังเหมือนเลื่อยยนต์ ทำให้สามารถถูกยิงตกได้ง่าย จึงมักถูกใช้ในเวลากลางคืน และไม่สามารถบินในสภาพอากาศแปรปรวนได้

อาวุธคนจนของกองทัพเมียนมา

แม้เหตุการณ์ล่าสุดจะเป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุด แต่พารามอเตอร์ถูกใช้หลายครั้งก่อนหน้านี้แล้ว โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในวันคริสต์มาส ปี 2024 ที่เขตมยิงยัน ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของฝ่ายต่อต้าน

เฉพาะเดือนมกราคม 2025 เพียงเดือนเดียว มีรายงานการโจมตีด้วยพารามอเตอร์ถึง 8 ครั้งในเขตตองทะห์, พะเล็ตตวา และสะกาย ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 9 คน ตามข้อมูลจากฐานข้อมูล ACLED

นักวิเคราะห์จากสถาบัน Myanmar Institute for Peace and Security ระบุว่า พารามอเตอร์คืออาวุธราคาถูก ใช้งานเร็ว ฝึกง่าย และสามารถเติมเต็มช่องว่างระหว่างโดรนกับเครื่องบินรบได้ และมันกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของกองทัพที่ต้องการครองน่านฟ้าในต้นทุนต่ำ

สาเหตุที่กองทัพพม่า (เมียนมา) หันมาใช้พารามอเตอร์มากขึ้น เนื่องจากเครื่องบินรบจำนวนมากถูกทำลายหรือเสียหายจากสงครามกลางเมือง และมีค่าใช้จ่ายซ่อมแซมสูง

ประชาชนตกเป็นเป้าโจมตี

ประชาชนในพื้นที่ที่มีกำลังต่อต้านน้อย มักตกเป็นเป้าโจมตีของพารามอเตอร์ โดยเฉพาะหมู่บ้านที่ไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศ หลายครอบครัวต้องสร้าง บังเกอร์หลบภัยใต้ดินราคา 500,000 จ๊าด หรือราว 7,800 บาท ซึ่งถือเป็นภาระหนักสำหรับผู้มีรายได้ขั้นต่ำเพียง 4,800 จ๊าด หรือเพียง 75 บาทต่อวัน

สงครามกลางเมืองเมียนมาทวีความรุนแรง

ตั้งแต่กองทัพก่อรัฐประหารในปี 2021 มีประชาชน เสียชีวิตนับหมื่นและพลัดถิ่นนับล้านคน สงครามยืดเยื้อมานานกว่า 4 ปี โดยฝ่ายกบฏสามารถยึดพื้นที่ไว้ได้ราวครึ่งประเทศ

แม้กองทัพสูญเสียพื้นที่จำนวนมาก แต่ล่าสุดกลับเร่งโต้กลับด้วย ปฏิบัติการทางอากาศและการทิ้งระเบิดอย่างหนัก พร้อมได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธและเทคโนโลยีจากจีน ซึ่งรวมถึง โดรน, ระบบอาวุธ, ช่างเทคนิค และการควบคุมการส่งออกอุปกรณ์ให้ฝ่ายต่อต้าน

รายงานจากสถาบัน Stimson Center ชี้ว่า จีนยังคงหนุนหลังรัฐบาลทหารเมียนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในประเทศ ขณะเดียวกัน จีนยังพยายามกดดันกลุ่มกบฏตามแนวชายแดนให้หยุดส่งอาวุธ เช่น โดรนและยานไร้คนขับ (UAV) ให้กับฝ่ายต่อต้าน ทำให้สมดุลอำนาจในสนามรบเปลี่ยนไป.


ที่มา : BBC

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ  พม่า

...