ซานาเอะ ทาคาอิจิ นักการเมืองหญิงสายอนุรักษนิยม วัย 64 ปี ผู้ยกย่อง "มาร์กาเร็ต แธตเชอร์" เป็นแบบอย่าง และเคยเป็นมือกลองเฮฟวี่เมทัล ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและแรงกดดันจากพรรคฝ่ายขวาจัด
วันนี้ (21 ต.ค.) สภาผู้แทนราษฎรของญี่ปุ่น ได้ลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยนางซานาเอะ ทาคาอิจิ ได้รับชัยชนะด้วยคะแนน 237 เสียง ซึ่งเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาทั้งหมด 465 ที่นั่ง (ต้องได้ 233 เสียง) ทำให้เธอเตรียมเข้าพิธีสาบานตนเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 104 ของญี่ปุ่นในเย็นวันเดียวกัน และจะกลายเป็นผู้นำหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ
ก่อนหน้านี้ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นักการเมืองหญิงแนวอนุรักษนิยม วัย 64 ปี ประสบความสำเร็จในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลญี่ปุ่น ในวาระครบรอบ 70 ปีของการก่อตั้งพรรค หลังความพยายามถึง 3 ครั้ง
เธอเกิดที่จังหวัดนาราเมื่อปี 1961 พ่อของทาคาอิชิเป็นพนักงานออฟฟิศ ส่วนแม่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนเรื่องการเมืองนั้นห่างไกลจากชีวิตในวัยเด็กของเธอมาก
ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นมือกลองเพลงเฮฟวีเมทัลตัวยง เธอมีชื่อเสียงจากการถือไม้ตีกลองจำนวนมาก เพราะเธอจะหักไม้ตีกลองอย่างแรง เธอยังเป็นนักดำน้ำลึกและผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์อีกด้วย ปัจจุบันรถโตโยต้า ซูปร้าคันโปรดของเธอจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์นารา
ก่อนที่จะเข้าสู่วงการเมือง ทาคาอิจิเคยทำงานเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์อยู่ช่วงหนึ่ง
แรงบันดาลใจทางการเมืองของเธอเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 ซึ่งเป็นช่วงที่ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นกำลังรุนแรงที่สุด เธอมุ่งมั่นที่จะเข้าใจมุมมองของชาวอเมริกันที่มีต่อญี่ปุ่น เธอจึงทำงานในสำนักงานของแพทริเซีย ชโรเดอร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์ญี่ปุ่น
...
ทาคาอิจิได้เห็นชาวอเมริกันผสมผสานภาษาและอาหารญี่ปุ่น จีน และเกาหลีเข้าด้วยกัน สังเกตเห็นว่าญี่ปุ่นมักถูกจัดกลุ่มร่วมกับจีนและเกาหลีใต้
“หากญี่ปุ่นไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ชะตากรรมของมันจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความคิดเห็นตื้นๆ ของสหรัฐฯ เสมอ” เธอกล่าวสรุป
เธอลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาครั้งแรกในปี 1992 ในฐานะผู้สมัครอิสระ แต่พ่ายแพ้
เธอยังคงมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง จนสามารถคว้าชัยชนะได้หนึ่งที่นั่งในอีกหนึ่งปีต่อมา และเข้าร่วมพรรค LDP ในปี 1996 นับแต่นั้นมา เธอได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ถึง 10 ครั้ง แพ้เพียงครั้งเดียว และสร้างชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในเสียงอนุรักษ์นิยมที่กล้าพูดกล้าแสดงออกมากที่สุดของพรรค
เธอยังเคยดำรงตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาล รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและการสื่อสาร ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์
ในปี 2021 ทาคาอิจิได้ลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค LDP เป็นครั้งแรก แต่พ่ายแพ้ให้กับฟูมิโอะ คิชิดะ เธอพยายามอีกครั้งในปี 2024 ครั้งนี้ได้คะแนนเสียงสูงสุดในรอบแรก แต่สุดท้ายก็แพ้ให้กับชิเงรุ อิชิบะ
ในปีนี้ ในความพยายามครั้งที่สาม เธอได้รับชัยชนะ ซึ่งทำให้เธอก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น เมื่อรัฐสภาอนุมัติการแต่งตั้ง
เธอกล่าวกับกลุ่มเด็กนักเรียนระหว่างการหาเสียงเมื่อเร็วๆ นี้ว่า "เป้าหมายของฉันคือการเป็นหญิงเหล็ก"
จุดยืนและนโยบาย
ทาคาอิจิเป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมืองสายอนุรักษนิยมที่แข็งกร้าว และเป็นลูกศิษย์คนสนิทของอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ผู้ล่วงลับ โดยเธอประกาศจะฟื้นฟูวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจแบบ "อาเบะโนมิกส์" ที่เน้นการใช้จ่ายภาครัฐสูงและการกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ด้านสังคม: เธอเคยคัดค้านกฎหมายที่อนุญาตให้ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วสามารถใช้นามสกุลเดิมได้ โดยยืนยันว่าเป็นการบ่อนทำลายธรรมเนียมเดิม เธอยังต่อต้านการแต่งงานของคนเพศเดียวกันอีกด้วย แต่ในช่วงหาเสียง เธอได้ผ่อนคลายท่าทีลง โดยให้คำมั่นที่จะผลักดันมาตรการช่วยลดค่าใช้จ่ายการดูแลเด็ก และนำไปหักลดหย่อนภาษีได้บางส่วน และเสนอให้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคลสำหรับบริษัทที่ให้บริการดูแลเด็กภายในองค์กร
ประสบการณ์ส่วนตัวและครอบครัวของเธอเป็นแรงผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบายของเธอ ได้แก่ การขยายบริการโรงพยาบาลเพื่อสุขภาพสตรี การให้การยอมรับแก่ผู้ช่วยเหลืองานบ้านมากขึ้น และการปรับปรุงทางเลือกในการดูแลผู้สูงอายุในญี่ปุ่น
"ฉันเคยมีประสบการณ์การพยาบาลและการดูแลเด็กมาแล้วสามครั้งในชีวิต นั่นเป็นเหตุผลที่ความมุ่งมั่นของฉันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นในการลดจำนวนคนที่ถูกบังคับให้ออกจากงานเนื่องจากการดูแล การเลี้ยงดูบุตร หรือเด็กที่ปฏิเสธที่จะไปโรงเรียน ฉันต้องการสร้างสังคมที่ผู้คนไม่จำเป็นต้องละทิ้งอาชีพการงาน"
ด้านความมั่นคง: เธอไปศาลเจ้ายาสุกุนิอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงและยกย่องผู้เสียชีวิตในสงครามของญี่ปุ่น รวมถึงอาชญากรสงคราม นอกจากนี้เธอยังเรียกร้องให้มีการผ่อนคลายข้อจำกัดทางรัฐธรรมนูญต่อกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นด้วย
นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1955 พรรค LDP ได้ครองอำนาจทางการเมืองในญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายทศวรรษ อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พรรคเริ่มสูญเสียฐานเสียงสนับสนุน ท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชนต่อภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ปัญหาประชากรลดลง และความไม่พึงพอใจในประเด็นทางสังคม
...
ทาคาอิจิ ซึ่งอยู่กลุ่มฝ่ายขวาของพรรค LDP ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคในช่วงเวลาที่พรรคต้องการฟื้นฟูความนิยมจากกลุ่มผู้มีแนวคิดอนุรักษนิยมที่ต้องการดึงฐานเสียงอนุรักษนิยมกลับคืน หลังจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนหันไปสนับสนุนพรรคขวาจัดอย่างพรรคซันเซโตะ (Sanseito party)
พรรคซันเซโตะ ซึ่งใช้คำขวัญว่า "ญี่ปุ่นต้องมาก่อน" (Japanese First) มีจำนวนที่นั่งในรัฐสภาเพิ่มขึ้นจาก 1 เป็น 15 ที่นั่งในช่วงหลัง ส่งผลให้พรรคสามารถดึงคะแนนเสียงจากกลุ่มผู้มีแนวคิดอนุรักษนิยมไปได้อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะเดียวกัน พรรค LDP ต้องเผชิญกับการสูญเสียเสียงข้างมากในทั้งสองสภา
ทาคาอิจิ ยอมรับถึงความท้าทายนี้ในสุนทรพจน์หลังจากชนะการลงคะแนนรอบแรกในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค โดยกล่าวว่า "เราถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง โดยเฉพาะจากผู้สนับสนุนหลัก กลุ่มอนุรักษนิยม และสมาชิกพรรค"
"LDP จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตของญี่ปุ่น เราจะยึดมั่นในผลประโยชน์ของชาติเป็นอันดับแรก และบริหารประเทศด้วยความสมดุล".
ที่มา BBC