เวียดนามเร่งอพยพประชาชนหลายพันคนและสั่งปิดสนามบินหลายแห่งในพื้นที่เสี่ยงภัย ตั้งรับ ไต้ฝุ่นบัวลอย ที่ทวีกำลังขึ้นและคาดว่าจะเคลื่อนตัวเข้าสู่เวียดนามตอนกลาง ในช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. วันนี้ หลังพายุลูกนี้ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 10 ราย และสร้างความเสียหายจากน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้างในฟิลิปปินส์
โดยวันนี้ (28 ก.ย.) ทางการเวียดนามได้สั่งปิดสนามบินในพื้นที่ชายฝั่งและเร่งอพยพประชาชนหลายพันคนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อเตรียมรับมือกับ พายุไต้ฝุ่นบัวลอย ที่กำลังเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงมุ่งหน้าเข้าสู่ประเทศ
คาดการณ์ว่า ไต้ฝุ่นบัวลอยจะขึ้นฝั่งใน เวียดนามตอนกลาง ในช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. ของวันอาทิตย์ (ตามเวลาท้องถิ่น) โดยจะนำมาซึ่งลมความเร็วสูงสุดถึง 133 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คลื่นพายุซัดฝั่ง ที่มีความสูงกว่า 1 เมตร และฝนที่ตกหนัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม
สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของเวียดนามรายงานเมื่อเวลา 04.00 น. ของวันอาทิตย์ ว่า พายุอยู่ห่างจากเมืองดานังไปทางตะวันออกประมาณ 200 กิโลเมตร บริเวณหมู่เกาะพาราเซล โดยมีกำลังลมต่อเนื่องที่ 133 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และลมกระโชกแรงสูงสุด 166 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่เคลื่อนตัวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งถือเป็น พายุที่มีความเร็วในการเคลื่อนที่สูงเกือบสองเท่าของค่าเฉลี่ย
กรมอุตุฯ เตือนว่า พายุลูกนี้มีศักยภาพในการก่อให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติได้หลายอย่างพร้อมกัน ทั้งลมกระโชกแรง ฝนตกหนัก น้ำท่วม ดินถล่ม และน้ำท่วมชายฝั่ง โดยคาดว่าความเร็วลมสูงสุดเมื่อขึ้นฝั่งเวียดนามตอนกลางจะอยู่ที่ 149 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันเขตร้อนเหนือประเทศลาวตอนเหนือในวันจันทร์
...
รัฐบาลเวียดนามเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ในจังหวัดห่าติ๋ญ ทางตอนกลางของประเทศ ได้เริ่มอพยพประชาชนกว่า 15,000 คน ออกจากพื้นที่แล้ว พร้อมกับระดมกำลังทหารหลายพันนายให้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน
นอกจากนี้ สำนักงานการบินพลเรือนได้สั่งระงับการให้บริการที่ สนามบินชายฝั่ง 4 แห่ง ตั้งแต่วันอาทิตย์ รวมถึง สนามบินนานาชาติดานัง และมีการปรับเปลี่ยนเวลาออกเดินทางของเที่ยวบินหลายเที่ยว
ทั้งนี้ เวียดนามซึ่งมีแนวชายฝั่งทะเลยาวติดกับทะเลจีนใต้ มักประสบภัยจากพายุไต้ฝุ่นที่สร้างความสูญเสียร้ายแรง โดยเมื่อปีที่ผ่านมา พายุไต้ฝุ่นยางิ ได้คร่าชีวิตผู้คนไปประมาณ 300 ราย และสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ.
ที่มา VnExpress