คณะมนตรียูเอ็นลงคะแนนเสียง ไม่เห็นชอบร่างมติที่เสนอโดยรัสเซียและจีน ซึ่งต้องการให้เลื่อนการนำมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านกลับมาใช้อีก 6 เดือน ส่งผลให้มาตรการคว่ำบาตรจะกลับมามีผลบังคับใช้อีกครั้ง
วันที่ 26 กันยายน 2568 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) มีมติลงคะแนนเสียง ไม่เห็นชอบร่างมติที่เสนอโดยรัสเซียและจีน ซึ่งต้องการให้เลื่อนการนำมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านกลับมาใช้อีก 6 เดือน ส่งผลให้มาตรการคว่ำบาตรจะกลับมามีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 20.00 น. วันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่นที่นิวยอร์ก หรือ 07.00 น. ของวันอาทิตย์ ตามเวลาไทย
โดยผลการลงคะแนนออกมา 4 ต่อ 9 เสียง โดยมี 2 ประเทศงดออกเสียง ทำให้ความพยายามของรัสเซียและจีนล้มเหลว แม้จะพยายามโน้มน้าวชาติสมาชิก แต่ไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนทิศทางเสียงข้างมาก ซึ่งการคว่ำบาตรที่ถูกตีกลับมาบังคับใช้อีกครั้งจะรวมถึงมาตรการทั้งหมดที่เคยมีอยู่ก่อนปี 2558 ซึ่งซ้อนทับกับมาตรการเข้มงวดที่ตะวันตกใช้อยู่แล้ว อันจะสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ต่ออิหร่าน
รายงานข่าวระบุว่า กลุ่ม E3 ซึ่งได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร กล่าวหาอิหร่านว่าละเมิดข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2558 หรือ Joint Comprehensive Plan of Action (JCPOA) ที่มีเป้าหมายจำกัดโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเพื่อแลกกับการยกเลิกคว่ำบาตร โดยสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถอนตัวจากข้อตกลงนี้เมื่อปี 2561
โดยนายอับบาส อารักชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ประณามการคว่ำบาตรที่จะกลับมามีผลว่า “เป็นโมฆะทางกฎหมาย” พร้อมกล่าวหาชาติยุโรปว่าผลักดันสถานการณ์ให้เข้าสู่การเผชิญหน้าที่อันตราย พร้อมยืนยันว่าโครงการนิวเคลียร์มีจุดประสงค์เพื่อสันติ
ทางด้านนายดมิทรี โปลยานสกี รองทูตรัสเซียประจำยูเอ็น ระบุว่า อิหร่านได้ยอมผ่อนปรนแล้ว แต่ชาติตะวันตกปฏิเสธการประนีประนอม ขณะที่นายเฌโรม บอนาฟง เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำยูเอ็น สวนกลับว่า อิหร่านไม่เคยดำเนินการจริงจังเพื่อหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตร แต่ย้ำว่ายังควรเปิดช่องทางการเจรจาต่อไป
...
ทั้งนี้ ความตึงเครียดในภูมิภาคยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากอิสราเอลเปิดฉากโจมตีทางอากาศใส่อิหร่าน 12 วันติดต่อกันในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังสหรัฐฯ เป้าหมายคือโรงงานนิวเคลียร์หลายแห่ง ทำให้วิกฤตความมั่นคงในตะวันออกกลางเข้าสู่ขั้นร้อนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน.