กระทรวงกลาโหมอินโดนีเซียซื้อพื้นที่โฆษณาเต็มหน้าในหนังสือพิมพ์รายใหญ่ที่สุดของประเทศ เพื่อชี้แจงและปกป้องบทบาทที่ขยายตัวของกองทัพในภารกิจที่ไม่ใช่การป้องกันประเทศ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงอำนาจของกองทัพที่เพิ่มขึ้นภายใต้การนำของประธานาธิบดี ปราโบโว ซูเบียนโต

นับตั้งแต่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว ประธานาธิบดี ปราโบโว ซูเบียนโต ได้แต่งตั้งบุคลากรทางทหารเข้ารับตำแหน่งในหน่วยงานรัฐบาลมากขึ้น รวมถึงมอบหมายภารกิจในโครงการสำคัญของรัฐบาลให้กับกองทัพ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลในหมู่นักศึกษาและนักเคลื่อนไหวว่า อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก อาจกลับสู่ยุค "ระเบียบใหม่" ที่ปกครองโดยเผด็จการทหารในสมัยอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โต

โฆษณาชิ้นดังกล่าวซึ่งลงในหนังสือพิมพ์คอมปาส (Kompas) มีพาดหัวว่า "ไม่ใช่แค่ทหารอีกต่อไป: การป้องกันของประชาชนในแบบอินโดนีเซีย" ระบุว่า นโยบายของกระทรวงกลาโหมได้ขยายและเปลี่ยนแปลงไปสู่ "การป้องกันของประชาชนที่อยู่บนพื้นฐานของความเจริญรุ่งเรืองและความร่วมมือข้ามภาคส่วน"

...


ปราโบโวได้มอบหมายภารกิจหลากหลายให้กับกองทัพ ตั้งแต่การดำเนินโครงการอาหารกลางวันฟรี การผลิตยา โครงการเกษตรกรรม ไปจนถึงการเข้ายึดพื้นที่สวนปาล์มน้ำมัน

โฆษณาชิ้นนี้ยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลส่งเสริมให้ประเทศมีความมั่นคงผ่านการมีส่วนร่วมของกระทรวงกลาโหม โดยได้ยกตัวอย่างโครงการหลัก 10 โครงการ ซึ่งรวมถึงโครงการอาหารกลางวันฟรี การจัดตั้งกองพันทหารบกใหม่ 100 แห่งในภาคส่วนสาธารณสุขและเกษตรกรรม รวมถึงการจัดตั้งห้องแล็บทหารเพื่อผลิตยา

นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมยังระบุว่า ได้ฝึกอบรมและให้ความรู้แก่บัณฑิตจบใหม่หลายพันคนด้วย "แนวทางทางทหาร" และหลักโภชนาการสาธารณะในครัวทั่วประเทศ ซึ่งบัณฑิตเหล่านี้ได้เป็นหัวหน้าครัวหรือนักโภชนาการ

กระทรวงยังเปิดเผยว่าคาดว่าจะจัดตั้งกองพันทหารบกเพิ่มเป็น 500 แห่งภายใน 5 ปี และมีเป้าหมายที่จะ "ปกป้องโครงการทางยุทธศาสตร์ของรัฐบาล"

ด้าน เมด สุปริอัตมา นักวิจัยรับเชิญจากสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak Institute ในสิงคโปร์ มองว่านโยบายเหล่านี้คือ "การสร้างความมั่นคง" ให้กับภาคพลเรือน

เขากล่าวกับสำนักข่าว รอยเตอร์ว่า "พวกเขาแค่พยายามขายเรื่องนี้ให้ประชาชน (ผ่านโฆษณา) แต่ไม่ว่าประชาชนจะเห็นด้วยหรือไม่นั้นไม่เกี่ยว เพราะพวกเขาก็ทำไปแล้วอยู่ดี" 

ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมอินโดนีเซียยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุผลที่ลงโฆษณาชิ้นนี้.


ที่มา Reuters