คณะกรรมการอิสระของสหประชาชาติออกรายงาน ระบุมีเหตุผลอันสมควรที่จะสรุปได้ว่าอิสราเอลได้ก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ด้านอิสราเอลปฏิเสธรายงานว่าบิดเบือนและไม่เป็นความจริง

คณะกรรมการอิสระเพื่อการสอบสวนในดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง (Independent International Commission of Inquiry on the Occupied Palestinian Territory) ซึ่งตั้งขึ้นโดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ได้เผยแพร่รายงานฉบับใหม่ที่ระบุว่า มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือพอที่จะสรุปได้ว่าอิสราเอลได้กระทำการ "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ในกาซา โดยอ้างถึงหลักฐาน 4 ใน 5 ข้อของอาชญากรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการสังหาร, ทำร้ายร่างกายและจิตใจ, จงใจสร้างเงื่อนไขเพื่อทำลายกลุ่มประชากร และการขัดขวางมิให้มีการเกิด รายงานยังระบุว่าเจตนาในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั้นปรากฏจากคำกล่าวของผู้นำอิสราเอลและรูปแบบการปฏิบัติงานของกองกำลังอิสราเอล

รายงานฉบับนี้ซึ่งจัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน นำโดย นาวี พิลเลย์ อดีตข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ระบุว่าอิสราเอลได้กระทำพฤติการณ์ 4 ประการที่เข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตามอนุสัญญาว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (1948 Genocide Convention) ได้แก่:

  • การสังหารสมาชิกของกลุ่ม: ด้วยการโจมตีเป้าหมายที่ได้รับการคุ้มครอง, พลเรือน และการจงใจสร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่การเสียชีวิต

  • การก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงทางร่างกายและจิตใจ: ผ่านการโจมตีโดยตรงต่อพลเรือน, การปฏิบัติอย่างทารุณต่อผู้ถูกควบคุมตัว, การบังคับให้พลัดถิ่น และการทำลายสิ่งแวดล้อม

  • การจงใจสร้างเงื่อนไขในการดำรงชีวิตเพื่อนำไปสู่การทำลายกลุ่ม: ด้วยการทำลายอาคารและที่ดิน, การทำลายหรือกีดกันการเข้าถึงบริการทางการแพทย์, การกีดกันความช่วยเหลือ, น้ำ, ไฟฟ้า และเชื้อเพลิงที่จำเป็น รวมถึงการใช้ความรุนแรงทางเพศ และการสร้างเงื่อนไขที่ส่งผลกระทบต่อเด็ก

  • การกำหนดมาตรการเพื่อขัดขวางการเกิด: เช่น การโจมตีคลินิกเจริญพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในกาซาเมื่อเดือนธันวาคม 2023 ซึ่งทำลายตัวอ่อนประมาณ 4,000 ตัว และตัวอย่างอสุจิกับไข่ที่ยังไม่ได้รับการผสมอีก 1,000 ตัวอย่าง

...

รายงานยังอ้างถึงคำพูดของผู้นำอิสราเอล เช่น ประธานาธิบดีไอแซก เฮอร์ซอก, นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โยอาฟ กัลแลนต์ ว่า "ปลุกปั่นให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" และชี้ว่า "เจตนาในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นข้อสรุปที่มีเหตุผลเพียงอย่างเดียว" ที่สามารถสรุปได้จากพฤติกรรมของทางการและกองกำลังอิสราเอล

คณะกรรมการฯ ยังระบุว่า การกระทำของผู้นำทางการเมืองและทหารของอิสราเอล “เป็นความรับผิดชอบของรัฐอิสราเอล” ซึ่งหมายความว่ารัฐดังกล่าว "มีส่วนรับผิดชอบในการล้มเหลวในการป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, การกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการล้มเหลวในการลงโทษการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"

กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลได้ออกมาปฏิเสธรายงานดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง โดยกล่าวหาว่ารายงานนี้ “บิดเบือนและไม่เป็นความจริง” โฆษกกระทรวงฯ ยังกล่าวหาผู้เชี่ยวชาญทั้งสามว่าทำหน้าที่เป็น "ตัวแทนของฮามาส" และอาศัย "ข้อมูลเท็จของฮามาส" ซึ่งถูกนำไปเผยแพร่ซ้ำ

โฆษกฯ ระบุ "ตรงกันข้ามกับคำโกหกในรายงาน ฮามาสคือฝ่ายที่พยายามก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในอิสราเอล ด้วยการสังหารผู้คน 1,200 คน, ข่มขืนผู้หญิง, เผาทั้งครอบครัว และประกาศเป้าหมายอย่างเปิดเผยว่าจะสังหารชาวยิวทุกคน" 

กองทัพอิสราเอลได้เริ่มปฏิบัติการทางทหารในกาซาเพื่อตอบโต้การโจมตีของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,200 คน และถูกจับเป็นตัวประกัน 251 คน

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีผู้เสียชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอลในกาซาแล้วอย่างน้อย 64,905 คน ตามข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขที่บริหารโดยกลุ่มฮามาส นอกจากนี้ ประชากรส่วนใหญ่ยังต้องพลัดถิ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า, บ้านเรือนกว่า 90% ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย, ระบบสาธารณสุข, น้ำ, สุขาภิบาล และสุขอนามัยได้ล่มสลาย และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางอาหารที่ได้รับการสนับสนุนจากยูเอ็นได้ประกาศภาวะทุพภิกขภัยในเมืองกาซาซิตี้

ทั้งนี้ มีองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและอิสราเอล, ผู้เชี่ยวชาญอิสระของยูเอ็น และนักวิชาการหลายราย ที่ได้กล่าวหาอิสราเอลว่ากระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในกาซาเช่นกัน ขณะที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ก็กำลังพิจารณาคดีที่แอฟริกาใต้นำมาฟ้อง ซึ่งกล่าวหาว่าอิสราเอลกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เช่นเดียวกัน.


ที่มา BBC