คดีระทึกแหกคุกครั้งใหญ่ในเนปาล ล่าสุดกลับมีเรื่องชวนอึ้ง เมื่อนักโทษรายหนึ่งตัดสินใจกลับไปมอบตัวเอง หลังหลบหนีออกมาได้ไม่กี่ชั่วโมง เหตุผลคือกลัวถูกลงโทษหนักกว่าเดิมหากถูกจับได้ในภายหลัง

จากเหตุการณ์จลาจลและการเผาเรือนจำทั่วประเทศเนปาล ส่งผลให้นักโทษกว่า 15,000 คน แหกคุกออกมาเมื่อวันอังคาร (9 ก.ย.) ท่ามกลางการประท้วงของเยาวชน Gen Z ที่ไม่พอใจการคอร์รัปชันและการแบนโซเชียลมีเดีย จนทำให้ นายกรัฐมนตรี เค.พี. ชาร์มา โอลี ต้องประกาศลาออก

ล่าสุด เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เมือง ธันคาฑี ในจังหวัดไกลาลี ทางตะวันตกของประเทศ เมื่อ 1 ในนักโทษ 692 คนที่แหกคุกออกไป ตัดสินใจกลับเข้ามอบตัวในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยมีครอบครัวพามาส่งถึงหน้าประตูเรือนจำ

นักโทษที่ไม่เปิดเผยชื่อรายนี้ บอกกับครอบครัวว่า แม้ตอนนี้จะหลบหนีออกมาได้ แต่หากถูกตำรวจจับกุมในภายหลัง อาจถูกตั้งข้อหาเพิ่มในคดีแหกคุก และทำให้โทษหนักขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ครอบครัวยังให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า หากรัฐบาลใหม่มองว่าเขากลับใจจริง อาจมีโอกาสได้รับอภัยโทษด้วย

รายงานระบุว่า ตอนที่ชายคนนี้ไปถึงเรือนจำ เจ้าหน้าที่รักษาการณ์ภายในยังอยู่ แต่ประตูใหญ่ด้านนอกถูกล็อก ทำให้เขาต้องตะโกนเรียกซ้ำ ๆ จนในที่สุดเจ้าหน้าที่จึงเปิดให้เข้าไปและดำเนินการส่งตัวกลับเข้าคุมขัง

...


ตามรายงานของสื่อท้องถิ่นและสำนักข่าวต่างประเทศ เหตุการณ์แหกคุกครั้งใหญ่ในเนปาลมีนักโทษหลบหนีจากเรือนจำหลายแห่ง เช่น

  • เรือนจำกลางกาฐมาณฑุ: 3,300 คน

  • เรือนจำ Nakkhu ในลลิตปูร์: 1,400 คน

  • เรือนจำ Dillibazar: 1,100 คน

  • เรือนจำเขตบันเก : 436 คน

  • สถานพินิจเยาวชนบันเก : 122 คน

จนถึงขณะนี้กองทัพเนปาลยืนยันว่า สามารถจับกุมตัวนักโทษกลับมาได้ราว 200 คน เท่านั้น ขณะที่ความรุนแรงจากเหตุปะทะทำให้มีผู้ต้องขังเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 8 ราย

วิกฤตครั้งนี้นับเป็นความท้าทายใหญ่สุดในรอบหลายทศวรรษของเนปาล กองทัพและตำรวจยังคงเร่งตามล่าผู้หลบหนี ขณะที่ต้องตรึงกำลังเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยด้วย.


ที่มา : NDTV.com

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ เนปาล