โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะย้ายที่ตั้งสำนักงานใหญ่กองบัญชาการกองทัพอวกาศจากรัฐโคโลราโดไปรัฐแอละแบมา อ้างไม่ชอบที่โคโลราโดอนุญาตให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทางไปรษณีย์ได้

สำนักข่าว รอยเตอร์ส รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวในวันอังคารที่ 2 ก.ย. 2568 ว่า เขาจะย้ายที่ตั้งของสำนักงานใหญ่กองบัญชาการกองทัพอวกาศ ซึ่งเป็นเหล่าทัพใหม่ล่าสุดของสหรัฐฯ จากรัฐโคโลราโดไปยังรัฐแอละแบมา โดยระบุว่าเขาได้รับการสนับสนุนอันแข็งแกร่งจากรัฐทางใต้แห่งนี้

“เรารักแอละแบมา ผมชนะที่นี่แค่ประมาณ 47 เสียง แต่ผมไม่คิดว่ามันส่งผลอะไรต่อการตัดสินใจของผม” นายทรัมป์บอกกับผู้สื่อข่าวและสมาชิกสภาที่มารวมตัวกันในห้องทำงานรูปไข่ ภายในทำเนียบขาวสหรัฐฯ

การตัดสินใจดังกล่าวเป็นการย้อนกลับความเคลื่อนไหวรัฐบาลอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน ซึ่งเลือกเมืองโคโลราโด สปริง เป็นที่ตั้งถาวรให้แก่กองบัญชาการเหล่าทัพใหม่ล่าสุดของสหรัฐฯ แห่งนี้

เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมเคยประเมินเอาไว้ว่า การย้ายสำนักงานใหญ่กองบัญชาการกองทัพอวกาศ ซึ่งเพิ่งเริ่มปฏิบัติการเต็มรูปแบบเมื่อเดือนธันวาคม 2566 จะต้องใช้งบประมาณหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ และใช้เวลาประมาณ 3-4 ปีกว่าจะเสร็จสิ้น

ทั้งนี้ กองบัญชาการกองทัพอวกาศก่อตั้งขึ้นในปี 2562 ภายใต้รัฐบาลทรัมป์สมัยที่ 1 มีหน้าที่รับผิดชอบปฏิบัติการทางทหารที่อยู่เหนือชั้นบรรยากาศของโลกขึ้นไป และปกป้องดาวเทียมของสหรัฐฯ จากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น โดยปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ประมาณ 1,700 นายทำงานที่กองบัญชาการแห่งนี้

นายทรัมป์มักเชื่อมโยงการตัดสินใจเรื่องงบประมาณของรัฐบาลกลางเข้ากับการเมือง โดยก่อนหน้านี้เขาเคยขัดขวางการย้ายสำนักงานใหญ่ของสำนักงานสืบสวนกลาง (FBI) ไปยังรัฐแมริแลนด์ ซึ่งเขาเรียกว่าเป็น “รัฐเสรีนิยม” และเชื่อมโยงการกระจายความช่วยเหลือด้านภัยพิบัติในรัฐแคลิฟอร์เนีย เข้ากับการตัดสินใจทางการเมืองภายในรัฐแห่งนี้ด้วย

...

“ปัญหาที่ผมมีกับโคโลราโด หนึ่งในปัญหาใหญ่คือ พวกเขาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทางไปรษณีย์ พวกเขาเปลี่ยนไปใช้การลงคะแนนทางไปรษณีย์ทั้งหมด ทำให้พวกเขามีการเลือกตั้งที่โกงโดยอัตโนมัติ” นายทรัมป์กล่าว โดยในรัฐโคโลราโด ประชาชนสามารถลงคะแนนเสียงเลือกตั้งด้วยตัวเองที่คูหา หรือลงคะแนนด้วยการส่งไปรษณีย์ก็ได้

ด้านผู้นำสภาคองเกรสของรัฐโคโลราโดทุกคนออกแถลงการณ์ร่วมว่า “การย้ายกองบัญชาการอวกาศจะทำให้การป้องกันภัยทางอวกาศของเราถอยหลังไปหลายปี ทั้งยังสิ้นเปลืองเงินภาษีของประชาชนหลายพันล้านดอลลาร์ และส่งมอบความได้เปรียบให้กับภัยคุกคามที่กำลังรวมตัวกันจากจีน รัสเซีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ”


ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign


ที่มา : reuters