รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศสิ้นสุดการยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับพัสดุที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์อย่างถาวร โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค. เป็นต้นไป

นับจากนี้ สำนักงานศุลกากรและการป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ (CBP) จะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าตามอัตราปกติสำหรับพัสดุที่ส่งมาจากทั่วโลก ไม่ว่าจะมูลค่าเท่าใดก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการขยายมาตรการที่เคยยกเลิกเฉพาะพัสดุจากจีนและฮ่องกงไปก่อนหน้านี้

นายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทำเนียบขาว กล่าวว่า การยกเลิกข้อยกเว้นนี้จะช่วยชีวิตชาวอเมริกันได้หลายพันคน ด้วยการจำกัดการไหลเข้าของยาเสพติดและสิ่งของต้องห้ามอันตรายอื่น ๆ ทั้งยังช่วยเพิ่มรายได้จากภาษีศุลกากรให้รัฐบาลได้ถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลทรัมป์ยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นมาตรการถาวร และความพยายามใด ๆ ที่จะรื้อฟื้นข้อยกเว้นนี้สำหรับประเทศคู่ค้านั้น "ไม่มีทางเป็นไปได้"

มาตรการยกเว้นภาษีที่เรียกว่า "de minimis" มีมาตั้งแต่ปี 1938 และได้ถูกปรับเพิ่มเพดานจาก 200 ดอลลาร์เป็น 800 ดอลลาร์ในปี 2015 เพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจขนาดเล็กผ่านการค้าขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่มภาษีสินค้าจีนในสมัยแรก พัสดุจากจีนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่แบบ "ขายตรงถึงผู้บริโภค" โดยเฉพาะบริษัทอย่างชีอิน (Shein) และเทมู (Temu)

รัฐบาลทรัมป์ระบุว่า พัสดุจำนวนมากเหล่านี้เข้ามาโดยไม่มีการตรวจสอบ และยังเป็นช่องทางให้ยาเสพติดประเภทเฟนทานิลและสารตั้งต้นถูกลักลอบนำเข้ามาในสหรัฐฯ อย่างง่ายดาย

CBP ประมาณการว่าจำนวนพัสดุที่อ้างสิทธิ์ข้อยกเว้นนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า จาก 139 ล้านชิ้นในปี 2015 เป็น 1.36 พันล้านชิ้นในปี 2024 โดยนับตั้งแต่มีการยกเลิกข้อยกเว้นสำหรับจีนและฮ่องกงเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา CBP ได้จัดเก็บภาษีเพิ่มเติมได้แล้วกว่า 492 ล้านดอลลาร์

...

ในช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นเวลา 6 เดือนนี้ บริษัทขนส่งเอกชน เช่น FedEx, UPS และ DHL จะต้องเป็นผู้จัดเก็บภาษีและจัดการเอกสารที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ไปรษณีย์ต่างประเทศสามารถเลือกวิธีจัดเก็บภาษีได้ 2 แบบ ได้แก่จัดเก็บภาษีตามมูลค่าจริงของสินค้า (ad valorem) และจัดเก็บภาษีในอัตราคงที่ (flat rate) ซึ่งขึ้นอยู่กับอัตราภาษีที่สหรัฐฯ กำหนดไว้กับประเทศนั้น ๆ

ส่วนอัตราภาษีคงที่ จะมีการเรียกเก็บ 80 ดอลลาร์ต่อชิ้น สำหรับประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำกว่า 16% เช่น สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป, 160 ดอลลาร์ต่อชิ้น สำหรับประเทศที่มีอัตราภาษีระหว่าง 16-25% เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม และ 200 ดอลลาร์ต่อชิ้น สำหรับประเทศที่มีอัตราภาษีสูงกว่า 25% เช่น จีน บราซิล อินเดีย และแคนาดา

อย่างไรก็ตาม ไปรษณีย์ต่างประเทศจะต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีเก็บภาษีตามมูลค่าสินค้าจริงทั้งหมดภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2026

แม้จะมีรายงานว่าไปรษณีย์บางประเทศได้ระงับการส่งพัสดุไปยังสหรัฐฯ แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลยืนยันว่ากำลังทำงานร่วมกับประเทศคู่ค้าและไปรษณีย์สหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบ และยืนยันว่าพัสดุจากสหราชอาณาจักร แคนาดา และยูเครนยังคงสามารถส่งได้ตามปกติ.


ที่มา Reuters