เมืองโทโยอาเกะ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น ได้เสนอข้อกำหนดเพื่อจำกัดการใช้สมาร์ทโฟนของประชาชนจำนวน 69,000 คน โดยใช้เวลาได้ไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง ซึ่งนับเป็นการจุดประเด็นถกเถียงอย่างหนักถึงการเสพติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ข้อเสนอดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น และกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภา หลังจากรัฐบาลท้องถิ่นของเมืองโทโยอาเกะ จังหวัดไอจิ ได้ยื่นข้อเสนอไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

นายมาซาฟุมิ โคกิ นายกเทศมนตรีเมืองโทโยอาเกะ กล่าวว่า ข้อกำหนดนี้ซึ่งจะใช้ได้เฉพาะช่วงนอกเวลาทำงานและเวลาเรียน จะไม่มีการบังคับใช้หรือมีบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนแต่อย่างใด แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเพียง "แนวทาง" ที่จะช่วยให้ประชาชนบริหารจัดการเวลาการใช้หน้าจอของตัวเองได้ดีขึ้น

"ข้อจำกัด 2 ชั่วโมงเป็นเพียงแนวทางเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนตระหนัก" นายโคกิกล่าวในแถลงการณ์ต่อว่า "นี่ไม่ได้หมายความว่าเมืองจะจำกัดสิทธิหรือสร้างภาระหน้าที่ให้กับประชาชน แต่ผมหวังว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นโอกาสให้แต่ละครอบครัวได้มีเวลาคิดและพูดคุยถึงการใช้สมาร์ทโฟน รวมถึงช่วงเวลาที่ควรใช้ในแต่ละวัน"

นายโคกิยังกล่าวเสริมว่า การใช้งานสมาร์ทโฟนในกิจกรรมที่ไม่ใช่เพื่อความบันเทิง เช่น การดูวิดีโอขณะทำอาหารหรือออกกำลังกาย, การเรียนออนไลน์ และการฝึกซ้อมสำหรับการแข่งขันอีสปอร์ต จะไม่ถูกนับรวมในเวลา 2 ชั่วโมงนี้

นายโคกิยอมรับว่าสมาร์ทโฟนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน แต่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น นักเรียนบางคนถึงขั้นไม่ยอมไปโรงเรียนหากไม่ได้พกสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ผู้ใหญ่ก็ยอมเสียสละเวลานอนหลับหรือเวลาที่ใช้กับครอบครัว เพื่อที่จะใช้เวลาอยู่กับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต

...

จากข้อมูลของสำนักข่าว Mainichi ของญี่ปุ่น ระบุว่ามีประชาชนกว่า 120 คนที่โทรศัพท์และส่งอีเมลมายังหน่วยงานท้องถิ่นในช่วงที่มีการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งส่วนใหญ่ (80%) ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ ขณะที่บางส่วนก็แสดงการสนับสนุน

ข้อเสนอนี้ยังระบุด้วยว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาควรเลิกใช้อุปกรณ์ในเวลา 21:00 น. ในขณะที่นักเรียนที่โตกว่าและผู้ใหญ่ควรเลิกใช้ในเวลา 22:00 น.

ตามรายงานของเจแปน ไทมส์ ประชาชนจำนวนมากแสดงความไม่พอใจบนโซเชียลมีเดีย โดยผู้ใช้รายหนึ่งกล่าวว่าในเวลา 2 ชั่วโมงนั้น "แม้แต่จะอ่านหนังสือหรือดูหนังยังไม่พอ".


ที่มา BBC