ภูเขาไฟคีเลาเวอา ในรัฐฮาวายของสหรัฐฯ ได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง โดยพ่นลาวาเป็นแนวโค้งสูงกว่า 30 เมตรสู่ท้องฟ้า ซึ่งนับเป็นการปะทุครั้งที่ 31 ของภูเขาไฟแห่งนี้ นับตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา 

ภูเขาไฟคีเลาเวอา (Kilauea) ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติภูเขาไฟฮาวายได้ปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ ( 22 ส.ค.) ที่ผ่านมา โดยพ่นลาวาเป็นแนวโค้งสูงกว่า 30 เมตรสู่ท้องฟ้าและไหลครอบคลุมพื้นที่ส่วนหนึ่งของปากปล่องภูเขาไฟ ซึ่งนับเป็นการปะทุครั้งที่ 31 ของภูเขาไฟแห่งนี้ตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา 

การปะทุครั้งนี้เริ่มขึ้นที่ปล่องทางเหนือที่มีการพ่นลาวาอย่างต่อเนื่อง และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงลาวาเริ่มล้นออกมา ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะเริ่มพ่นลาวาในลักษณะน้ำพุ แรงปะทุทั้งหมดเกิดขึ้นภายในปากปล่องภูเขาไฟเท่านั้น จึงไม่มีรายงานความเสียหายต่อที่พักอาศัยของประชาชน

การปะทุครั้งนี้เปิดโอกาสให้ทั้งประชาชนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวที่โชคดีได้เข้าชมปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างใกล้ชิดจากอุทยานแห่งชาติภูเขาไฟฮาวาย นอกจากนี้ คาดว่าจะมีผู้คนอีกหลายแสนคนเฝ้าติดตามชมผ่านการถ่ายทอดสดที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งจัดทำขึ้นโดยสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา ที่ติดตั้งกล้องไว้ 3 จุด

จานิซ เว่ย อาสาสมัครของหน่วยงานอุทยานแห่งชาติฮาวาย กล่าวว่า ทุกครั้งที่เธอได้รับข่าวว่าลาวาเริ่มปะทุ เธอมักจะรีบไปถ่ายภาพและวิดีโอของปากปล่องภูเขาไฟฮาเลมาอูมาอู (Halemaumau Crater) ซึ่งตามความเชื่อของชาวฮาวายพื้นเมืองเป็นบ้านของเทพธิดาแห่งภูเขาไฟ "เปเล่" เธอเล่าว่าเมื่อลาวาพุ่งสูงขึ้นเหมือนน้ำพุ จะได้ยินเสียงดังเหมือนเครื่องยนต์เจ็ทหรือคลื่นทะเลที่ซัดเข้าฝั่ง และยังสามารถสัมผัสถึงความร้อนของมันได้จากระยะไกลกว่า 1 ไมล์

...

เคน ฮอน นักวิทยาศาสตร์ผู้ดูแลหอสังเกตการณ์ภูเขาไฟฮาวาย อธิบายว่า แม็กมาที่อยู่ภายใต้ปากปล่องภูเขาไฟฮาเลมาอูมาอูได้รับแม็กมาจากใต้พื้นโลกโดยตรงในอัตราประมาณ 3.8 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้ห้องแม็กมาขยายตัวเหมือนลูกโป่งและดันแม็กมาขึ้นไปสู่ห้องที่อยู่ด้านบน จากนั้นจึงถูกผลักดันขึ้นสู่พื้นผิวผ่านรอยแตกต่างๆ

นายฮอนกล่าวว่า แม็กมาได้ใช้เส้นทางเดิมในการขึ้นสู่พื้นผิวมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ทำให้การปะทุครั้งแรกและครั้งต่อๆ มาเป็นส่วนหนึ่งของการปะทุเดียวกัน การพ่นลาวาแบบน้ำพุนั้นเกิดจากการที่แม็กมาซึ่งมีแก๊สละลายอยู่ภายใน เดินทางขึ้นสู่พื้นผิวผ่านปล่องแคบๆ เหมือนท่อ ซึ่งเมื่อความดันเพิ่มขึ้นจะดันแม็กมาที่หมดแก๊สแล้วออกไป คล้ายกับการเขย่าขวดแชมเปญก่อนเปิดจุก

นี่เป็นครั้งที่สี่ในรอบ 200 ปี ที่ภูเขาไฟคีเลาเวอาพ่นลาวาในลักษณะน้ำพุหลายครั้งติดต่อกัน ซึ่งรูปแบบการปะทุนี้เคยเกิดขึ้นในปี 1959 และ 1969 รวมถึงการปะทุที่เริ่มขึ้นในปี 1983 ซึ่งมีถึง 44 ครั้ง แต่กินเวลานานถึงสามปี และเกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกลทำให้มีผู้คนได้ชมไม่มากนัก

นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าการปะทุครั้งปัจจุบันจะสิ้นสุดลงเมื่อใดหรือจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปอย่างไร การปะทุเมื่อปี 1983 แม็กมาได้สร้างแรงดันมากพอจนภูเขาไฟคีเลาเวอาเปิดปล่องระบายที่ความสูงต่ำลง และเริ่มพ่นลาวาอย่างต่อเนื่องจากจุดนั้นแทนที่จะเป็นการพ่นตามช่วงเวลาที่ความสูงเดิม และการปะทุครั้งนั้นได้ดำเนินไปในหลายรูปแบบเป็นเวลาสามทศวรรษก่อนจะสิ้นสุดลงในปี 2018

ปรากฏการณ์ที่คล้ายกันอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง หรือการปะทุครั้งปัจจุบันอาจจะหยุดลงหากปริมาณแม็กมาที่ส่งขึ้นมาหมดลง อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ประมาณ 2-3 วัน หรืออาจจะถึงหนึ่งสัปดาห์ ว่าลาวาจะปะทุเมื่อใด ด้วยความช่วยเหลือจากเซ็นเซอร์รอบภูเขาไฟที่ตรวจจับการสั่นสะเทือนของแผ่นดินและการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของพื้นดิน ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวหรือยุบตัวของแม็กมาที่อยู่ใต้ดิน