โดนัลด์ ทรัมป์ เผยประธานาธิบดียูเครนสามารถยุติสงครามกับรัสเซียได้ "หากเขาต้องการ" แต่ "ยูเครนจะไม่มีทางได้เข้าร่วมองค์การนาโต" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงสันติภาพ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน สามารถยุติสงครามกับรัสเซียได้ "หากเขาต้องการ" แต่มีเงื่อนไขว่ายูเครนจะไม่มีทางได้เข้าร่วมองค์การนาโต และยอมรับการเสียคาบสมุทรไครเมียซึ่งถูกรัสเซียผนวก ตั้งแต่ปี 2014 โดยความเห็นดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่เขาจะหารือกับผู้นำยูเครนที่ทำเนียบขาว
คำพูดของทรัมป์มีขึ้นหลังจากที่เขาร่วมประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ในรัฐอะแลสกา ซึ่งส่งผลให้ผู้นำสหรัฐฯ ยุติการเรียกร้องให้มีการหยุดยิงและเปลี่ยนไปเรียกร้องให้มีการทำข้อตกลงสันติภาพถาวรแทน ขณะที่หลังจากเดินทางถึงสหรัฐฯ เมื่อช่วงค่ำวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เซเลนสกีย้ำว่าพันธมิตรควรให้หลักประกันด้านความมั่นคงที่มีประสิทธิภาพแก่ยูเครน ด้านทูตสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า ปูตินตกลงที่จะพิจารณาข้อตกลงความมั่นคงที่มีลักษณะคล้ายกับนาโต ให้แก่ยูเครน ซึ่งเป็นท่าทีที่สวนทางกับที่ผู้นำรัสเซียเคยคัดค้านการเข้าร่วมนาโตองยูเครนมาโดยตลอด
เมื่อคืนวันอาทิตย์ ทรัมป์โพสต์ข้อความว่า "ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครนสามารถยุติสงครามกับรัสเซียได้เกือบจะทันที หากเขาต้องการ หรือเขาจะสู้ต่อไปก็ได้" พร้อมกล่าวเสริมว่า "จำไว้ว่ามันเริ่มต้นอย่างไร ไม่มีการเอาไครเมียที่โอบามายอมยกให้ (เมื่อ 12 ปีก่อน โดยไม่มีการยิงแม้แต่นัดเดียว!) คืนมา และยูเครนไม่มีทางได้เข้านาโต บางสิ่งไม่เคยเปลี่ยน!!!"
ก่อนที่ทรัมป์จะกลับมามีอำนาจ ประเทศสมาชิกนาโตเคยตกลงกันว่ายูเครนมี "เส้นทางที่ไม่สามารถหวนกลับ" สู่การเป็นสมาชิกกลุ่มได้แล้ว ขณะนี้ นายมาร์ก รุตเตอ เลขาธิการนาโตพร้อมด้วยผู้นำยุโรป เช่น นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ แห่งสหราชอาณาจักร จะเข้าร่วมการประชุมกับเซเลนสกีที่วอชิงตันดีซี ในวันจันทร์ (18 ส.ค.) เพื่อหารือเกี่ยวกับอนาคตของยูเครน
...
นอกจากนี้ ยังมีประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส, นายกรัฐมนตรีจอร์เจีย เมโลนี ของอิตาลี, นายกรัฐมนตรีฟรีดริช แมร์ซ ของเยอรมนี, ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ สตับบ์ ของฟินแลนด์ และประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เออร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ก็จะเข้าร่วมการประชุมด้วย อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะมีผู้นำกี่คนที่เข้าร่วมการประชุมที่ทำเนียบขาว
ทรัมป์ยังโพสต์เพิ่มเติมว่า "วันสำคัญที่ทำเนียบขาวพรุ่งนี้ ไม่เคยมีผู้นำยุโรปมากมายขนาดนี้มารวมกันในคราวเดียว เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับพวกเขา!!!"
ด้านเซเลนสกีโพสต์ในโซเชียลมีเดียแสดงความ "ขอบคุณ" สำหรับคำเชิญของทรัมป์ โดยระบุว่า "เราทุกคนมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะยุติสงครามนี้อย่างรวดเร็วและน่าเชื่อถือ" เขายังย้ำถึงความจำเป็นในการได้รับหลักประกันความมั่นคงที่มีประสิทธิภาพจากพันธมิตร "ไม่เหมือนเมื่อหลายปีก่อน... ตอนที่ยูเครนได้รับ 'หลักประกันความมั่นคง' ที่เรียกว่า 'คำมั่น' ในปี 1994 แต่ไม่ได้ผล" เขาเสริมว่า "แน่นอนว่าตอนนั้นไม่ควรปล่อยไครเมียไป" "เหมือนกับที่ชาวยูเครนไม่ยอมเสียเคียฟ, โอเดสซา หรือคาร์คิฟ หลังจากปี 2022"
การที่ประมุขของรัฐจำนวนมากเดินทางไปยังสหรัฐฯ อย่างกะทันหันเพื่อเข้าร่วมการประชุมวิกฤตในช่วงสงครามเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุคสมัยใหม่ สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่สูงลิ่ว
แหล่งข่าวทางการทูตระบุว่า เจ้าหน้าที่ยุโรปกังวลว่าทรัมป์อาจพยายามกดดันเซเลนสกีให้ยอมรับข้อตกลงบางอย่าง หลังจากที่ผู้นำยูเครนถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมการประชุมระหว่างทรัมป์-ปูตินในสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม นายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่าข้อเสนอแนะใด ๆ ที่ว่าเซเลนสกีอาจถูกทรัมป์ข่มขู่ให้ยอมรับข้อตกลงสันติภาพนั้นเป็น "เรื่องเล่าในสื่อที่งี่เง่า"
ผู้นำนาโตดูเหมือนจะต้องการหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ซ้ำรอยจากการเดินทางไปทำเนียบขาวของเซเลนสกีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งจบลงอย่างกะทันหันหลังจากการโต้เถียงกับทรัมป์และรองประธานาธิบดีเจ.ดี. แวนซ์ เหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งทรัมป์กล่าวหาเซเลนสกีว่า "เล่นพนันกับสงครามโลกครั้งที่สาม" ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-ยูเครนย่ำแย่ลง
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่นั้นมา ผู้นำยุโรปได้พยายามอย่างหนักอยู่เบื้องหลังเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ ผู้นำยูเครนได้รับการฝึกฝนให้พูดในลักษณะของการทำข้อตกลง ซึ่งเป็นภาษาที่ทรัมป์เข้าใจ ในเดือนเมษายน ยูเครนได้ลงนามในข้อตกลงแร่ธาตุที่ทำให้สหรัฐฯ มีส่วนได้ส่วนเสียทางการเงินในประเทศ และทรัมป์กับเซเลนสกีได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัวที่วาติกันก่อนพิธีศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ยูเครนยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเต็มใจที่จะจ่ายเงินสำหรับอาวุธของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ผู้นำทั้งสองได้โทรศัพท์คุยกัน ซึ่งประธานาธิบดียูเครนบรรยายว่าเป็น "การสนทนาที่ดีที่สุดที่เราเคยมี"
ในขณะที่การหารือเหล่านี้ดำเนินไป กองกำลังรัสเซียยังคงรุกคืบในสนามรบ พวกเขาเข้ายึดครองพื้นที่เกือบหนึ่งในห้าของยูเครนแล้วนับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากการบุกเต็มรูปแบบในเดือนกุมภาพันธ์ 2022.
ที่มา BBC