รัฐมนตรีอิสราเอลประกาศเดินหน้าแผนสร้างชุมชนชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์ ที่ถูกแช่แข็งมานานกว่า 20 ปี หลังหลายประเทศเตรียมยอมรับสถานะรัฐปาเลสไตน์

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 ส.ค. 2568 นายเบซาเลล สโมตริช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของอิสราเอล ประกาศว่าจะเริ่มเดินหน้าโครงการ “E1” เพื่อสร้างที่อยู่ชาวยิวกว่า 3,000 หลังในเขตเวสต์แบงก์อีกครั้ง หลังแผนถูกแช่แข็งมานานกว่า 20 ปี เพราะเสียงคัดค้านจากนานาชาติ

โครงการ E1 จะสร้างที่อยู่ของชาวยิวกว่า 3,000 หลังระหว่างกรุงเยรูซาเลมกับชุมชน “มาอาเล อาดูมิม” ซึ่งจะเป็นการตัดขาดเขตเวสต์แบงก์กับกรุงเยรูซาเลมตะวันออกอย่างสิ้นเชิง

นายสโมตริชระบุว่า โครงการ E1 จะเป็นการฝังแนวคิดเรื่องการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์ เพราะจะไม่มีอะไรให้ยอมรับ และไม่มีใครให้ยอมรับ

ทั้งนี้ การก่อตั้งชุมชนชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นหนึ่งในปัญหาขัดแย้งที่สุดระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ เนื่องจากเขตเวสต์แบงก์เป็นดินแดนที่ชาวปาเลสไตน์ต้องการใช้เป็นที่ดินของรัฐอิสระของพวกเขาในอนาคต

ตามข้อมูลจาก “พีซ นาว” (Peace Now) กลุ่มต่อต้านการสร้างชุมชนชาวยิวปัจจุบัน มีชุมชนชาวยิวกว่า 160 แห่งอยู่ในเขตเวสต์แบงก์ และมีชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ประมาณ 700,000 คน

“หลังจากถูกกดดันจากนานาชาติและถูกแช่แข็งมาหลายทศวรรษ เรากำลังแหวกขนบธรรมเนียมและกำลังจะเชื่อมต่อมาอาเล อาดูมิม เข้ากับเยรูซาเลม” นายสโมตริช ซึ่งเป็นนักการเมืองฝ่ายขวาจัด กล่าว

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของอิสราเอลเกิดขึ้นหลังจากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีหลายประเทศออกมาแสดงความตั้งใจที่จะให้การยอมรับรัฐปาเลสไตน์มากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส ซึ่งเรียกเสียงประณามจากอิสราเอล

...

เมื่อนักข่าวถามว่า การรื้อฟื้นโครงการ E1 เป็นการส่งข้อความถึงประเทศอย่าง UK หรือ ฝรั่งเศส ที่วางแผนจะยอมรับรัฐปาเลสไตน์หรือไม่ นายสโมตริชกล่าวว่า “มันจะไม่เกิดขึ้น จะไม่มีรัฐอะไรให้ยอมรับทั้งนั้น”

ด้านโฆษกกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ แสดงความเห็นต่อแผนการล่าสุดของอิสราเอลว่า เขตเวสต์แบงก์ที่มั่นคงจะทำให้อิสราเอลปลอดภัย และเป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาลนี้ที่จะสร้างสันติภาพในภูมิภาค

ขณะที่โฆษกคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า EU ขอปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตใดๆ ที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงทางการเมืองระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวข้อง


ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign


ที่มา : bbc