- อินเดียกำลังจะเผชิญกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงถึง 50% โทษฐานที่พวกเขายังซื้อน้ำมันจากรัสเซียอยู่ ในขณะที่สหรัฐฯ กับยุโรปกำลังหาทางกดดันมอสโกให้ยุติสงครามในยูเครน
- นายโมดีกับนายทรัมป์ดูจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองประเทศมีจุดติดขัดหลายอย่าง ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายตึงเครียดมานานแล้ว
- นักวิเคราะห์คาดว่า อินเดียไม่น่าจะหยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซียเพื่อเอาใจนายทรัมป์ และจนถึงตอนนี้ ทางการอินเดียก็ออกมากล่าวโจมตีกำแพงภาษีของสหรัฐฯ อย่างรุนแรง
ตอนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งในเดือนมกราคม นักวิเคราะห์ชาวอินเดียจำนวนมากต่างแสดงความยินดี โดยเชื่อว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างเขากับนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี จะเป็นเกราะป้องกันให้อินเดียจากความวุ่นวายที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจก่อขึ้นได้
ก่อนหน้านี้ ผู้นำทั้งสองเคยช่วยกันหาเสียงให้อีกฝ่าย เคยหาเสียงรวมกัน เรียกอีกฝ่ายว่า “เพื่อน” หลายต่อหลายครั้ง และในเดือนกุมภาพันธ์ นายโมดีก็เป็นหนึ่งในผู้นำโลกกลุ่มแรกๆ ที่เดินทางไปเยี่ยมเยือนนายทรัมป์ที่ทำเนียบขาว
แต่หกเดือนต่อมา นิวเดลีก็เผชิญความจริงอันน่าตกใจ เมื่อทรัมป์ลงโทษอินเดียเป็นครั้งแรกด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม และจากนั้นในวันพุธที่ผ่านมา เขาก็เพิ่มภาษีอีกเท่าตัวเป็น 50% ด้วยเหตุผลว่า อินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ในขณะที่นายทรัมป์กำลังพยายามบีบให้รัสเซียยอมรับการหยุดยิงในสงครามกับยูเครน
ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่า การบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ ยังคงเป็นเรื่องห่างไกล และ “ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-อินเดีย อยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปี” ในขณะที่ประเทศอื่นๆ รวมถึงเพื่อนบ้านที่อินเดียมีความสัมพันธ์ตึงเครียดด้วย เช่น ปากีสถานและบังกลาเทศ กลับเผชิญภาษีต่ำกว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร อะไรคือความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย และอินเดียจะยอมเลิกซื้อน้ำมันจากรัสเซียเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ หรือไม่
...
จุดขัดแย้งในความสัมพันธ์
นายโมดีกับนายทรัมป์อาจจะกล่าวชื่นชมกันไปมา แต่มีหลายประเด็นที่อินเดียกับสหรัฐฯ ไม่ลงรอยกัน ตั้งแต่เรื่องการค้าไปจนถึงเรื่องยุทธศาสตร์
1. การค้า
การค้าเป็นจุดติดขัดในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-อินเดียมาตลอด แม้ว่าความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์และการป้องกันประเทศจะแน่นแฟ้นขึ้นก็ตาม สหรัฐฯ พยายามผลักดันเพื่อเข้าถึงตลาดอินเดียมากขึ้น ลดภาษีนำเข้า และขอการคุ้มครองที่เข้มแข็งขึ้น โดยเฉพาะสินค้าส่งออกด้านเทคโนโลยี เภสัชกรรม และการเกษตร ส่วนอินเดียก็ต่อต้านสิ่งที่พวกเขามองว่า เป็นแรงกดดันให้เปิดเศรษฐกิจอย่างไม่เหมาะสม ที่อาจเป็นอันตรายต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศและเกษตรกรรายย่อย
ก่อนที่ทรัมป์จะมา ทั้งสองประเทศจัดการความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจนี้ได้ แม้จะไม่สมดุล โดยอินเดียส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มากกว่าที่สหรัฐฯ ส่งออกไปยังอินเดียเท่าตัว สหรัฐฯ ต้องการเข้าถึงตลาดที่กำลังเติบโตของอินเดีย และอินเดียก็จำเป็นต้องส่งออกไปสหรัฐฯ ดังนั้นการรักษาความสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทั้งสองฝ่าย
หลังจากนายทรัมป์ประกาศตั้งกำแพงภาษีกับคู่ค้าเกือบทุกประเทศเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 เมษายน เจ้าหน้าที่ของอินเดียและสหรัฐฯ ก็เริ่มการเจรจาเพื่อทำข้อตกลงทางการค้า แต่มีรายงานว่า ความไม่ลงรอยกันในประเด็นต่างๆ เช่น กฎระเบียบด้านอีคอมเมิร์ซ, การไหลเวียนของข้อมูลดิจิทัล และการควบคุมราคาอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทำให้กระบวนการเจรจาหยุดชะงัก
เจ้าหน้าที่อินเดียพยายามทำข้อตกลงให้ทันเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม แต่ถึงแม้จะมีความคืบหน้าบ้าง เช่น อินเดียยอมลดภาษีสินค้าบางรายการของสหรัฐฯ แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าฉบับเต็มได้ และในขณะที่การเจรจายังคงดำเนินต่อไป นิวเดลีกลับต้องเผชิญกับภาษี 25 เปอร์เซ็นต์สำหรับสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ และทรัมป์ยังขู่ว่าจะใช้มาตรการลงโทษเพิ่มเติม โทษฐานที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซียด้วย
2. ความสัมพันธ์อินเดีย-รัสเซีย
โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่พอใจรัสเซียมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ไม่ให้ความร่วมมือในการเจรจาหยุดยิงเพื่อยุติสงครามในยูเครน และเขากำลังหาวิธีการต่างๆ เพื่อต้อนมอสโกให้จนมุม และความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างอินเดียกับรัสเซีย ก็ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
แม้สหรัฐฯ จะมองอินเดียเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการต่อต้านการผงาดของจีนในเอเชียแปซิฟิก แต่พวกเขาก็ไม่สบายใจที่อินเดียยังมีความสัมพันธ์ด้านการทหารและพลังงานกับรัสเซียอย่างต่อเนื่อง
ในตอนที่โลกหันหลังให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน จากการเริ่มสงครามในยูเครน ถึงขั้นมีหมายจับจากศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) นายโมดีกลับเดินทางเยือนรัสเซียถึง 2 ครั้งในปี 2564 โดยที่ในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน ปูตินได้มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญแอนดรูว์ ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดสำหรับพลเรือนให้นายโมดีด้วย
นอกจากนั้น รัสเซียยังเป็นหนึ่งในผู้จัดหาอาวุธให้อินเดียรายใหญ่ที่สุด และร่วมมือกันด้านเทคโนโลยีสำคัญหลายอย่าง รวมถึง ระบบมิสไซล์และเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และหลังจากรัสเซียเริ่มบุกโจมตียูเครนเต็มรูปแบบ อินเดียก็เพิ่มการนำเข้าน้ำมันดิบรัสเซียมากขึ้นไปอีก เนื่องจากมอสโกลดราคาลงเพื่อดึงดูดผู้ซื้อ สู้กับการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก
...
3. การหยุดยิงที่แคชเมียร์
เมื่อเดือนพฤษภาคม อินเดียเปิดฉากยิงมิสไซล์เข้าใส่ปากีสถานซึ่งเป็นอริกันมานาน หลังเกิดเหตุมือปืนกราดยิงนักท่องเที่ยวที่แคว้นแคชเมียร์ส่วนที่อินเดียควบคุมในวันที่ 22 เมษายน จนมีผู้เสียชีวิตถึง 26 ศพ และอินเดียก็กล่าวโทษปากีสถานว่าหนุนหลังคนร้ายที่ก่อเหตุ ซึ่งแน่นอนว่าฝ่ายปากีสถานปฏิเสธ
เหตุการณ์นี้กลายเป็นการปะทะกันทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปีระหว่างอินเดียกับปากีสถาน จนกระทั่งโดนัลด์ ทรัมป์ออกมากล่าวอ้างว่า เขาได้เข้าแทรกแซงและบอกกับทั้งสองประเทศให้ทำข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัน มิเช่นนั้นจะไม่มีการทำข้อตกลงการค้า ทำให้การต่อสู้ยุติลงอย่างรวดเร็ว
แต่สำหรับอินเดีย ซึ่งมีจุดยืนมาอย่างยาวนานว่า ปัญหากับปากีสถานจะต้องได้รับแก้ไขโดยทั้งสองประเทศเท่านั้น ไม่มีมือที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง การเข้าแทรกแซงของนายทรัมป์ ทำให้ฝ่ายค้านของอินเดียออกมาวิพากษ์วิจารณ์นายโมดีอย่างหนัก
รัฐบาลของนายโมดีพยายามยืนยันว่า การหยุดยิงนั้นเกิดขึ้นจากการเจรจาทวิภาคี นายโมดีไม่ได้พูดคุยกับนายทรัมป์เลยระหว่างเกิดการปะทะ และยืนยันว่า เรื่องการค้าไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งในการเจรจาหยุดยิงกับปากีสถาน สวนทางกับคำกล่าวอ้างของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ระบุว่า เรื่องการค้าถูกพูดถึงมากกว่า 30 ครั้ง
4. ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ปากีสถาน
หลังจากการหยุดยิงระหว่างอินเดียกับปากีสถานในเดือนพฤษภาคม นายทรัมป์ก็เปิดทำเนียบขาวต้อนรับการมาเยือนของนายพล อาซิม มูนีร์ ผู้บัญชาการกองทัพปากีสถาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตอกย้ำความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างวอชิงตันกับอิสลามาบัด หลังจากตึงเครียดมาหลายปี
รัฐบาลปากีสถานถึงขั้นเสนอชื่อนายทรัมป์ เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพอย่างเป็นทางการ โดยชื่นชมความเด็ดขาดในการเข้าแทรกแซงทางการทูต และความเป็นผู้นำระหว่างเกิดวิกฤติอินเดีย-ปากีสถาน
เพียงวันเดียวหลังพบกับนายพลมูนีร์ นายทรัมป์ก็ออกมาเรียกนายโมดีว่าเป็น “ชายผู้แสนวิเศษ” แต่ชมนายพลมูนีร์ว่า มีความสำคัญอย่างยิ่งในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง “ผมรักปากีสถาน” นายทรัมป์กล่าวในตอนนั้น และย้ำว่า “ผมหยุดสงครามระหว่างปากีสถานกับอินเดีย”
ในตอนที่นายทรัมป์ประกาศอัตราภาษีที่จะเก็บจากสินค้านำเข้าจากอินเดีย เขาก็ใช้ Truth Social เปิดเผยด้วยว่า ได้บรรลุข้อตกลงกับปากีสถานแล้ว โดยทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันพัฒนาแหล่งสำรองน้ำมัน “ใครจะรู้ บางทีพวกเขาอาจจะขายน้ำมันให้อินเดียในสักวันหนึ่งก็เป็นได้” นายทรัมป์ระบุ
ต่อมา ผู้นำสหรัฐฯ ก็ประกาศตั้งกำแพงภาษีปากีสถานในอัตรา 19% ซึ่งฝ่ายอิสลามาบัดยกย่องว่าเป็นอัตราที่สมดุลแล้ว
...
5. อเมริกาต้องมาก่อน
ไม่กี่วันก่อนที่นายโมดีจะพบนายทรัมป์ในเดือนกุมภาพันธ์ มีภาพถูกเผยแพร่ออกมาแสดงให้เห็น ชาวอินเดียจำนวนหนึ่งในสภาพถูกจับใส่โซ่ตรวน กำลังเดินแถวไปยังเครื่องบินของกองทัพสหรัฐฯ ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจในอินเดีย กับสิ่งที่สหรัฐฯ ปฏิบัติต่อชาวต่างชาติ
ชาวอินเดียที่ถูกส่งตัวกลับประเทศเนื่องจากไม่มีเอกสารที่จะอยู่ในสหรัฐฯ ต่อ เล่าว่า พวกเขาถูกล่ามโซ่ขยับไปไหนไม่ได้ตลอดการเดินทางเกือบ 40 ชั่วโมงจากสหรัฐฯ ไปยังอินเดีย
แต่ปัญหาไม่ได้หยุดที่ผู้อพยพผิดกฎหมายเท่านั้น หลังจากนายทรัมป์รับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 รัฐบาลของเขาก็ถูกกดดันอย่างหนักจากกลุ่ม “MAGA” (Make America Great Again) ให้ปราบปรามวีซ่า H1B ซึ่งเป็นวิซ่าทำงานเฉพาะทางสำหรับชาวต่างชาติ ซึ่งกว่า 72% ถูกมอบให้ชาวอินเดีย
เมื่อเดือนก่อน นายทรัมป์ร่วมการประชุมปัญญาประดิษฐ์ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยเขาโจมตีการจ้างชาวอินเดียของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง กูเกิล, ไมโครซอฟต์ และแอปเปิล พร้อมประกาศว่า “วันเวลาแห่งการจ้างแรงงานอินเดียจบลงแล้ว” และเรียกร้องให้บริษัทต่างๆ ให้ความสำคัญกับการจ้างชาวอเมริกันก่อน และตัดขาดกับเอาต์ซอร์สที่มีความเชื่อมโยงกับอินเดียและจีน
...
อินเดียจะหยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซียหรือไม่?
ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะนับตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี 2490 อินเดียก็ยึดหลักการปกครองตนเอง ไม่เข้าข้างฝ่ายใด และหลังสงครามเย็นจบลง พวกเขาก็กระชับความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับทางทหารกับสหรัฐฯ ในขณะที่รักษาความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับรัสเซียต่อไป
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา กระทรวงกิจการต่างประเทศของอินเดียออกมาตอบโต้การตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯ อย่างรุนแรง โดยระบุว่า การที่สหรัฐฯ เล็งเล่นงานอินเดียเพราะซื้อน้ำมันจากรัสเซียนั้น ไม่ยุติธรรมและไม่มีเหตุผล พร้อมทั้งกล่าวหาชาติตะวันตกว่า 2 มาตรฐาน โดยชี้ว่า ในปี 2564 ชาติยุโรปทำการค้ากับรัสเซียมากกว่าอินเดียเสียอีก และสหรัฐฯ ก็ยังคงนำเข้าสารเคมีและปุ๋ยจากรัสเซียอยู่เลย
กระทรวงต่างประเทศบอกอีกว่า เป็นสหรัฐฯ นี่เองที่สนับสนุนพวกเขาอย่างแข็งขันให้ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย เพื่อทำให้ราคาน้ำมันดิบโลกอยู่ภายใต้การควบคุม ในขณะที่ชาติตะวันตกลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “อินเดียจะใช้ทุกมาตรการที่จำเป็น เพื่อปกป้องผลประโยชน์กับความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ”
ด้าน น.ส.ชญาติ โกช ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ แอมเฮิร์สต์ ตั้งคำถามว่า “หากเป็นสหรัฐฯ หรือชาติยุโรป พวกเขาจะยอมทิ้งการตัดสินใจด้านการต่างประเทศด้วยตนเองหรือไม่?” “อินเดียมีประชากรมากกว่าทั้ง 2 ดินแดนรวมกัน เป็นเรื่องไร้สาระมากที่คิดว่าอินเดียจะยอมทิ้งสิ่งนั้น”
ความสัมพันธ์อินเดีย-สหรัฐฯ จะเป็นอย่างไรต่อ?
นายไมเคิล คูเกลมัน ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียใต้แห่งศูนย์วิลสัน ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. บอกกับอัลจาซีราว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ ตกลงสู่จุดต่ำสุดในรอบกว่า 20 ปีแล้ว หลังจากมีเค้าลางมาตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 21
อินเดียจะยังคงยึดมั่นในนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดกับรัฐบาลต่างชาติต่อไป และเพราะอินเดียต้องการรักษาสมดุลระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย หลังมอสโกบุกโจมตียูเครน โดนัลด์ ทรัมป์ จึงลงโทษอินเดียที่พยายามจะรักษาสมดุลดังกล่าว ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลของโจ ไบเดนจะไม่มีวันทำ
คูเกลมันกล่าวอีกว่า ในระยะยาว อินเดียคงได้แต่หวังว่าความไม่พอใจของนายทรัมป์จะลดลงในที่สุด ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นหากรัสเซียยอมตกลงหยุดยิงในยูเครน “ในแง่นั้น อินเดียอาจเพิ่มความพยายามในการกดดันให้ปูตินยุติสงคราม เพราะสำหรับตอนนี้ ดูเหมือนนายทรัมป์กำลังระบายความไม่พอใจที่มีต่อปูตินมาลงที่อินเดีย”
ด้านสถาบันวิจัย บาร์เคลย์ รีเสิร์ช ระบุว่า อินเดียไม่น่าจะใช้มาตรการตอบโต้สหรัฐฯ แต่ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2562 เมื่ออินเดียตั้งกำแพงภาษีสินค้าสหรัฐฯ 28 รายการ เพื่อตอบโต้ภาษีเหล็กกล้าและอะลูมิเนียม ก่อนจะยกเลิกบางส่วนในปี 2566
ที่มา : aljazeera