โดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันว่า กำลังเกิดความอดอยากอย่างแท้จริงในฉนวนกาซา สวนทางกับผู้นำอิสราเอลที่กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ไม่มีความอดอยากในกาซา
เมื่อวันจันทร์ที่ 28 ก.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวสอบถามโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างการพบปะกับเซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรว่า เขาเห็นด้วยกับคำพูดของนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลที่ว่า ไม่มีความอดอยากในฉนวนกาซาหรือไม่
นายทรัมป์ตอบว่า “ผมไม่รู้นะ .. เด็กๆ เหล่านั้นดูหิวมาก” ก่อนที่เขากล่าวในเวลาต่อมาว่า “มีความหิวโหยที่แท้จริงในกาซา คุณไม่สามารถโกหกเรื่องนี้ได้” “ไม่มีใครทำได้ดีที่นั่นเลย ทั้งพื้นที่เละเทะไปหมด ผมบอกอิสราเอลว่าบางทีพวกเขาอาจต้องใช้วิธีที่แตกต่างออกไป”
คำพูดของนายทรัมป์เกิดขึ้นในขณะที่ นายทอม เฟลตเชอร์ รองเลขาธิการสหประชาชาติ ฝ่ายกิจการด้านมนุษยธรรมและผู้ประสานงานบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินของสหประชาชาติออกมาเตือนว่า จำเป็นต้องมีเสบียงอาหารปริมาณมหาศาลเพื่อแก้ปัญหาความหิวโหยในฉนวนกาซา
นายเฟลตเชอร์กล่าวว่า เขายินดีกับมาตรการใหม่ของอิสราเอลที่จะหยุดโจมตีในกาซาวันละ 10 ชั่วโมง และเปิดเส้นทางขนส่งความช่วยเหลือเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้เพิ่มขึ้น แต่การขนส่งในช่วงที่ผ่านมานั้น เหมือนกับหยดน้ำตกลงในมหาสมุทร เมื่อเทียบกับปริมาณเสบียงอาหารที่ชาวกาซาต้องการจริงๆ
“มันเป็นจุดเริ่มต้น แต่ช่วง 2-3 วันข้างหน้าจะเป็นตัวตัดสิน เราต้องการการขนส่งในปริมาณเยอะกว่านี้มากๆ เราต้องส่งความช่วยเหลือจำนวนมากเข้าไป และในอัตราที่เร็วมากด้วย” นายเฟลตเชอร์กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (27 ก.ค.) นายเนทันยาฮูออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่า อิสราเอลจงใจทำให้ชาวกาซาอดอยาก ซึ่งถือเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม
...
“ช่างเป็นการโกหกอย่างหน้าไม่อาย ไม่มีนโยบายทำให้กาซาอดอยาก และไม่มีความอดอยากในกาซา” ผู้นำอิสราเอลกล่าว “เราเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่กาซาตลอดช่วงที่เกิดสงคราม มิเช่นนั้น คงไม่มีชาวกาซาเหลือแล้ว และสิ่งที่ขัดขวางการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมนี้มีกองกำลังเดียวคือ กลุ่มฮามาส นี่เป็นการบิดเบือนความจริงอีกครั้ง”
เนทันยาฮูกล่าวอีกว่า มาตรการหยุดโจมตีและเปิดทางส่งความช่วยเหลือใหม่นี้ หมายความว่าสหประชาชาติจะไม่เหลือข้ออ้างที่จะไม่มารับและแจกจ่ายสิ่งของช่วยเหลือจากด่านข้ามพรมแดน “หยุดโกหก หยุดหาข้ออ้าง ทำในสิ่งที่คุณต้องทำ”
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc