กัมพูชาเผย 3 ประเด็นที่ยื่นต่อคณะมนตรีความมั่นคงของยูเอ็น โดยการพิจารณาประชุมฉุกเฉินในคืนนี้ เป็นการประณามกองทัพไทยละเมิดอธิปไตย พร้อมย้ำใช้สิทธิป้องกันตนเอง และเสนอส่งเรื่องขึ้นศาลโลกตัดสิน
วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 นายกุง โภค รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา แถลงข่าวต่อคณะทูตและผู้สื่อข่าวในกรุงพนมเปญเกี่ยวกับเนื้อหาในจดหมายของนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ซึ่งส่งถึงประธานหมุนเวียนคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อขอเปิดการประชุมฉุกเฉิน
นายกุงเปิดเผยว่า จดหมายของกัมพูชาระบุวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่
แจ้งสถานการณ์ความรุนแรงชายแดน โดยเฉพาะพฤติกรรมรุกรานของกองทัพไทยที่ยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง พร้อมหลักฐานว่าละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา
เน้นการละเมิด MoU ปี 2543 ซึ่งเป็นบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดทำแผนที่พิกัดพรมแดน ที่ไทยและกัมพูชาได้ลงนามร่วมกัน และยังมีผลผูกพันทางกฎหมายจนถึงปัจจุบัน แต่ไทยกลับฝ่าฝืนพันธกรณี โดยอ้างสิทธิเหนือดินแดนฝ่ายเดียว
เสนอแนวทางแก้ไขโดยสันติ ผ่านกลไกกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเสนอให้ส่งเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ครอบคลุมพื้นที่พิพาท 4 แห่ง คือ ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต
นายกุงยังระบุว่า เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ได้ส่งจดหมายฉบับนี้ถึงตัวแทนประเทศปากีสถาน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานหมุนเวียนยูเอ็นเอสซีในเดือนกรกฎาคม เพื่อขอเปิดประชุมฉุกเฉินภายในคืนนี้ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเช้ามืดวันที่ 26 ก.ค. ตามเวลาไทย)
ทั้งนี้ รัฐบาลกัมพูชายืนยันสิทธิในการป้องกันตัวตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ และปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตี โดยยืนกรานว่า ทุกปฏิบัติการเป็นไปเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตน บนพื้นฐานของแผนที่ที่ได้รับการรับรองในสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยามปี 1904 และ 1907 และคำตัดสินของศาลโลกปี 2505 ซึ่งเคยตัดสินให้กัมพูชาชนะในกรณีปราสาทพระวิหาร
...
กัมพูชาคาดว่าการประชุมฉุกเฉินของยูเอ็นเอสซีในคืนนี้จะนำไปสู่ทางออกที่ยุติธรรม และยุติความรุนแรงบริเวณชายแดนโดยเร็วที่สุด.