• ทรัมป์ประกาศบรรลุข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นแล้วเมื่อวันพุธ ลดอัตราภาษีนำเข้าให้ญี่ปุ่นเหลือ 15% ขณะที่ฝั่งโตเกียวสัญญาจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ

  • ข้อตกลงนี้จะทำให้รถยนต์ญี่ปุ่นถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีน้อยลงกว่าเดิม เพิ่มข้อได้เปรียบในการแข่งขัน แต่ยังมีอุปสรรคอื่นที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น ภาษีเหล็กกล้าและอะลูมิเนียม ซึ่งสูงถึง 50%

  • อัตราภาษี 15% ยังเพิ่มแรงกดดันให้กับประเทศอื่นๆ ที่ยังไม่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ให้ต้องพยายามหาทางทำข้อตกลงที่ดีขึ้น เพื่อรักษาการแข่งขันทางการค้าเอาไว้


โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศบรรลุข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นแล้วเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (23 ก.ค. 2568) ซึ่งจะลดภาษีนำเข้ารถยนต์และละเว้นญี่ปุ่นจากภาษีต่างตอบแทนเพิ่มเติมสำหรับสินค้าอื่นๆ แลกกับแพ็กเกจลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์

ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศว่านี่เป็นข้อตกลงการค้าขนาดใหญ่ และอาจจะใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ส่วนนายเรียวเซอิ อาคาซาวะ ผู้นำทีมเจรจาของญี่ปุ่นประกาศผ่าน X หลังจากคุยกับนายทรัมป์ที่ทำเนียบขาวว่า “ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว”

ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่า นี่เป็นข้อตกลงการค้าขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์หรือไม่ แต่มันเป็นข้อตกลงที่มีนัยสำคัญที่สุดนับตั้งแต่นายทรัมป์ประกาศตั้งภาษี “วันปลดแอก” เมื่อเดือนเมษายนอย่างแน่นอน อะไรอยู่ในข้อตกลงฉบับนี้บ้าง แล้วมันจะส่งผลกระทบต่อญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆ อย่างไร

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

...


อะไรอยู่ในข้อตกลงสหรัฐฯ - ญี่ปุ่น

โพสต์ของนายทรัมป์บน Truth Social ระบุว่า ญี่ปุ่นจะเปิดตลาดต้อนรับรถยนต์กับข้าวจากอเมริกา แต่ที่สำคัญคือรถยนต์ญี่ปุ่น ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 4 ของสินค้าที่ญี่ปุ่นส่งออกไปให้สหรัฐฯ จะถูกเก็บภาษีนำเข้าลดลงจากอัตราในปัจจุบันที่ 27.5% เหลือ 15% ภาษีศุลกากรกับสินค้าญี่ปุ่นอื่นๆ ที่จะบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. ก็จะลดลงจาก 25% เหลือ 15% เช่นกัน

“เราเป็นประเทศแรกในโลกที่ลดภาษีนำเข้ายานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ได้ โดยไม่มีจำกัดจำนวน” นายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ บอกกับผู้สื่อข่าว

ญี่ปุ่นจะรักษาภาษีศุลกากรที่เก็บจากสินค้าเกษตรที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ไว้ตามเดิม แต่พวกเขาตกลงจะนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ มากขึ้นภายใต้โควต้าสินค้าปลอดภาษีที่มีอยู่ ซึ่งอาจช่วยแก้ปัญหาข้าวขาดแคลนในญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าเกษตรกรในประเทศจะกังวลเรื่องการถูกแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดก็ตาม

อย่างไรก็ตาม นายอาคาซาวะกล่าวว่า ภาษีเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมซึ่งนายทรัมป์ประกาศจะเก็บจากทุกประเทศที่สหรัฐฯ นำเข้าในอัตรา 50% ไม่ถูกรวมเข้าไปในข้อตกลงนี้ นอกจากนั้น ข้อตกลงยังไม่รวมเรื่องการใช้จ่ายด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำสหรัฐฯ พยายามผลักดันด้วย

ฝ่ายญี่ปุ่นจะลงทุนเม็ดเงินเข้าสู่สหรัฐฯ จำนวน 5.5 แสนล้านดอลลาร์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของ “การเริ่มลงทุนใหม่ของญี่ปุ่นในอเมริกา” (Japan Investment America Initiative) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการลงทุนในภาคความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รวมถึง ชิพเซมิคอนดักเตอร์, เภสัชกรรม, เหล็ก, การต่อเรือ, แร่ธาตุสำคัญ, พลังงาน, ยานยนต์ และ AI

ตัวเลขดังกล่าวคือเพดานเงินกู้เพื่อการลงทุนที่สูงขึ้น และเป็นการรับประกันว่า ธนาคารของญี่ปุ่นและหน่วยงานต่างๆ จะช่วยส่งเสริมการลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นในสหรัฐฯ

นายอาคาซาวะระบุว่า ข้อตกลงนี้เป็นไปตามแนวทาง “การลงทุนเหนือภาษี” ที่นายอิชิบะเสนอต่อนายทรัมป์ระหว่างการพบปะกันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์

เรียวเซอิ อาคาซาวะ รัฐมนตรีเศรษฐกิจ และหัวหน้าทีมเจรจาของญี่ปุ่น
เรียวเซอิ อาคาซาวะ รัฐมนตรีเศรษฐกิจ และหัวหน้าทีมเจรจาของญี่ปุ่น


จุดขัดแย้งในการเจรจา

จุดที่เป็นข้อถกเถียงมากที่สุดในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นคือเรื่อง การนำเข้าข้าวสหรัฐฯ เข้าสู่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่นายทรัมป์อ้างเพื่อตั้งกำแพงภาษีกับแดนอาทิตย์อุทัย

ทั้งสองฝ่ายบรรลุความเห็นชอบร่วมกันได้ในวันพุธ โดยญี่ปุ่นตกลงจะนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ มากขึ้น แต่ต้องอยู่ภายใต้โควต้าปลอดภาษีที่กำหนดเท่านั้น

ตามกรอบการเข้าถึงขั้นต่ำ (minimum access) ขององค์การการค้าโลก ซึ่งกำหนดปริมาณขั้นต่ำที่ชาติสมาชิกตกลงจะเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้แก่สินค้าที่นำเข้าจากต่างชาตินั้น ญี่ปุ่นนำเข้าข้าวปลอดภาษีจำนวนประมาณ 770,000 ตันทุกปี โดยข้าวจากสหรัฐฯ คิดเป็น 45% จากจำนวนดังกล่าว

นายอิชิบะกล่าวว่า ญี่ปุ่นจะเพิ่มปริมาณการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ แต่ต้องอยู่ภายในกรอบนั้น เพื่อปกป้องภาคการเกษตรของประเทศ “เราไม่ได้เสียสละภาคการเกษตรของเราไปเลย” นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นบอกกับผู้สื่อข่าว

ทั้งนี้ การนำเข้าข้าวเป็นประเด็นละเอียดอ่อนมากในญี่ปุ่น และรัฐบาลของนายอิชิบะ ซึ่งเพิ่งเสียเสียงข้างมากในสภาสูงหลังการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (20 ด.ค.) ก็เคยพูดว่าจะไม่ยอมประนีประนอมในเรื่องนี้

...


ผลกระทบจากข้อตกลง

นักวิเคราะห์หลายคนมองโลกในแง่ดีแต่ระมัดระวังเกี่ยวกับผลกระทบจากข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นฉบับนี้

นายคาซุทากะ มาเอดะ นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัย “เมจิ ยาสุดะ” (Meiji Yasuda) กล่าวว่า เขาคาดว่า ด้วยอัตราภาษี 15% นี้ ญี่ปุ่นจะสามารถหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้

แต่นาง เดโบราห์ เอล์มส์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายการค้าของกองทุน “ฮินริช” (Hinrich Foundation) ย้ำเตือนว่า แม้อัตราภาษีนำเข้าจะดีขึ้นกว่าตัวเลข 25% ที่ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ แต่ในภาพรวมสินค้าของญี่ปุ่นจะถูกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับอัตราภาษีเพียง 2% ที่สหรัฐฯ เก็บจากสินค้าญี่ปุ่นจนถึงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

นางเอล์มส์เตือนด้วยว่า ถึงแม้การได้ลดภาษียานยนต์จะช่วยเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันกับผู้ผลิตต่างชาติเจ้าอื่นที่ส่งออกรถยนต์เข้าสู่สหรัฐฯ แต่ภาษียานยนต์ไม่ใช่ความท้าทายเดียวที่ญี่ปุ่นเผชิญ

“รถยนต์ที่ผู้ผลิตญี่ปุ่นนำเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ นั้น มีจำนวนมากที่ผลิตในสหรัฐฯ สิ่งที่สำคัญสำหรับรถยนต์เหล่านี้คือภาษีชิ้นส่วนรถยนต์ และที่สำคัญคือ เหล็ก, เหล็กกล้า, อะลูมิเนียม และทุกอย่างที่ผลิตจากวัสดุเหล่านี้” เอล์มส์กล่าว โดยในปัจจุบัน สหรัฐฯ ยังคงเก็บภาษีเหล็กกล้ากับอะลูมิเนียมนำเข้าในอัตรา 50%

อย่างไรก็ดี นายจาเรด มอนด์เชน ผู้อำนวยการการวิจัยจากศูนย์ศึกษาสหรัฐฯ ระบุว่า ความสัมพันธ์ด้านยานยนต์ระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ นั้น ใหญ่และไม่สามารถดูถูกได้

“นี่คือจุดอ่อนไหวสำหรับญี่ปุ่น และนี่ก็อาจเป็นโอกาสครั้งใหญ่สำหรับพวกเขา ในการสร้างสมดุลและเสถียรภาพให้แก่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่คล่องตัวกับสหรัฐฯ” นายมอนด์เชนกล่าว โดยเขาย้ำด้วยว่า ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงผลกระทบจากการลดกำแพงภาษีครั้งนี้ เนื่องจากรายละเอียดยังเผยออกมาไม่หมด

...

ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น
ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น


ผลกระทบต่อประเทศอื่น

อัตราภาษี 15% จะกลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานใหม่สำหรับประเทศและดินแดนอื่นๆ ที่กำลังเจรจากับสหรัฐฯ เช่น เกาหลีใต้และไต้หวัน ซึ่งรัฐมนตรีอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ออกมาบอกแล้วว่า พวกเขาจะศึกษาเงื่อนไขต่างๆ ในข้อตกลงระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ว่าญี่ปุ่นตกลงอะไรไปบ้าง

ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้เป็นคู่แข่งกันโดยตรงในหลายอุตสาหกรรมรวมถึง เหล็กกล้ากับยานยนต์

ไม่เพียงเท่านั้น ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น จะกลายเป็นสิ่งที่เพิ่มแรงกดดันให้กับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะผู้ส่งออกรายใหญ่ในทวีปเอเชีย ในการทำข้อตกลงที่ดีขึ้นให้ได้ก่อนจะถึงเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งสหรัฐฯ จะเริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีต่างตอบแทน

จนถึงตอนนี้ สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงกับ 6 ประเทศแล้ว ได้แก่ สหราชอาณาจักร, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ขณะที่บรรลุข้อตกลงระงับการตั้งกำแพงภาษีตอบโต้กับจีน

แต่หลายประเทศในเอเชียยังไม่รู้ชะตา ชาติเศรษฐกิจขนาดเล็กกว่าอย่าง กัมพูชา, ลาว และศรีลังกา เป็นผู้ส่งออกสินค้าที่พวกเขาผลิตเอง พวกเขามีข้อเสนอที่จะยื่นให้สหรัฐฯ เพียงน้อยนิด ไม่ว่าจะเรื่องการค้าหรือการลงทุน

แต่ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็เผชิญแรงกดดันให้ต้องเร่งปิดดีลให้ได้มากที่สุดเช่นกัน เพราะนอกจากการเจรจากับสหรัฐฯ แล้ว หลายประเทศอาจเริ่มมองหาหุ้นส่วนการค้าที่อื่นที่ไว้วางใจได้มากกว่า

ในวันเดียวกับที่วอชิงตันกับโตเกียวประกาศข้อตกลง ญี่ปุ่นกับยุโรปก็ได้ให้คำมั่นว่าจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อตอบโต้การบีบบังคับทางเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยสหภาพยุโรปยังไม่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ และแนวโน้มที่การเจรจากับสำเร็จก่อนถึงเส้นตายนั้นดูจะมีไม่มากนัก

“เราเชื่อความสามารถในการแข่งขันทางการค้าในตลาดโลก และทุกฝ่ายควรได้รับประโยชน์” เออร์ซูลา วอน แดร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าว




ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : cna , bbc

...