“ดีลภาษีทรัมป์” ยังคลุมเครือ เวียดนาม-อินโดฯ ได้ลดภาษีแต่ต้องแลกด้วยเงื่อนไขไม่ชัด ขณะชาติอื่นอาเซียนรวมถึงไทย ยังพยายามหาทางออก
วันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศปิดดีลภาษีกับฟิลิปปินส์เป็นประเทศล่าสุดในอาเซียนที่ได้ข้อสรุปในสมรภูมิภาษีการค้ากับสหรัฐฯ หลังจากผู้นำสหรัฐฯ ได้เคยกำหนดเส้นตายไว้ 9 ก.ค. สำหรับการเจรจา “ภาษีตอบโต้” กับประเทศต่าง ๆ และได้ขยายเวลาเจรจาออกไปอีก 3 สัปดาห์จนถึงวันที่ 1 ส.ค.
จนถึงตอนนี้ มีเพียงเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นเพียง 3 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ที่ดูเหมือนจะบรรลุ "ข้อตกลง" บางประการกับสหรัฐฯ ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ยังคงต้องรับมือกับอัตราภาษีที่สหรัฐฯ ประกาศใช้มาตั้งแต่เดือนเมษายน
เวียดนาม : ลดภาษี แต่ต้องยอมเปิดตลาด
เวียดนามสามารถต่อรองลดอัตราภาษีตอบโต้จาก 46% เหลือ 20% ได้สำเร็จ แต่ยังมีภาษี 40% สำหรับสินค้าที่สหรัฐฯ ระบุว่าเป็น “สินค้าผ่านถ่าย” (transshipped) แม้จะไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนว่าหมายถึงอะไร โดยทรัมป์ โพสต์ผ่านโซเชียลว่า ทางเวียดนามให้ "ผ่านตลอด" (TOTAL ACCESS) แก่สินค้าสหรัฐฯ หมายถึงการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยไม่มีรายละเอียดทางเทคนิคเพิ่มเติม
...
อินโดนีเซีย: ลดภาษี-ซื้อโบอิ้ง
ก่อนหน้านี้อินโดนีเซียกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 32% มาตรการดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการส่งออกในอินโดฯ อย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าที่เคยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรงในภูมิภาค
แต่ภายหลังการเจรจาข้อตกลงของอินโดนีเซียก็ได้คล้ายคลึงกับเวียดนาม โดยลดภาษีจาก 32% เหลือ 19% พร้อมให้สหรัฐฯ ส่งออกสินค้าโดยไม่เสียภาษีนำเข้า ในขณะที่อินโดนีเซียตกลงจะจัดซื้อเครื่องบินโบอิ้งจำนวนหนึ่ง ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยจำนวน
ฟิลิปปินส์ : ทรัมป์ปิดดีลการค้า ตั้งภาษี 19%
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าเขากับนายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์บรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างกันแล้ว โดยภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว สินค้าของทั้งฟิลิปปินส์กับอินโดนีเซียที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ จะถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 19% ขณะที่สินค้าอเมริกันที่ส่งออกไปสู่ทั้ง 2 ประเทศจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากร นอกจากนั้นสหรัฐฯ กับฟิลิปปินส์จะเพิ่มความร่วมมือทางทหารระหว่างกันด้วย
ไทย กัมพูชามาเลย์ ลาวเมียนมา : ยังไม่ปิดดีล โดนภาษีโหด 25–40%
ทรัมป์เปิดเกมการค้า ปรับภาษีสินค้านำเข้าจากไทยและเพื่อนบ้านอาเซียน หลังยังไร้ข้อตกลง โดยกลุ่มประเทศอาเซียนอีก 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา มาเลเซีย ลาว และเมียนมา ถูกสหรัฐฯ สั่งปรับขึ้นภาษีนำเข้าสูงถึง 25–40% หลังยังไม่สามารถตกลงทางการค้ากับรัฐบาลทรัมป์ได้
โดยไทยและกัมพูชาถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ขณะที่ มาเลเซีย 25%, ส่วนลาวและเมียนมาเจอหนักสุดที่ 40% ทำให้ภาคส่งออกของแต่ละประเทศต้องเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงในการแข่งขันกับเวียดนามซึ่งได้รับสิทธิพิเศษลดภาษีไปแล้ว อย่างไรก็ตามทรัมป์ระบุว่า ยังเปิดรับการเจรจาเพิ่มเติม แต่จะไม่มีการยกเว้นหากไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจน
...
ดีลยังไม่สิ้นสุด และอาจพลิกได้ทุกเมื่อ
แม้จะถูกเรียกว่า “ข้อตกลง” แต่ทุกเงื่อนไขยังอยู่ในขั้นเจรจา และอาจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง ขณะเดียวกัน ชาติอาเซียนต่างแข่งขันกันชิงส่วนแบ่งตลาดจากสหรัฐฯ ทำให้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าดีลของเวียดนามและอินโดฯ ถือเป็นชัยชนะ จริงหรือไม่
นอกจากนี้ยังมีภาษีเฉพาะกลุ่มสินค้าหลักที่ถูกตั้งไว้สูงถึง 25–200% เช่น รถยนต์ เหล็ก ยา อิเล็กทรอนิกส์ ไม้แปรรูป และทองแดง ซึ่งหากประเทศใดมีสินค้าหลักอยู่ในกลุ่มนี้ ก็ยังต้องเผชิญภาระหนักเช่นเดิม ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังขู่จะตั้งภาษีเพิ่มอีก 10% กับประเทศสมาชิก BRICS และชาติที่ถูกมองว่าต่อต้านสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในประเด็นยุ่งยากที่สุดคือ "ทรานส์ชิปเม้นต์" (transshipment) หรือการนำเข้าสินค้าจากจีน แปลงเอกสารให้กลายเป็นสินค้าจากอาเซียน แล้วส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงภาษี โดยทรัมป์มองว่าเป็นการฉ้อโกง และใช้ดีลภาษีเป็นเครื่องมือกดดันให้ชาติในภูมิภาคหยุดพฤติกรรมนี้.