โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศบรรลุข้อตกลงกับฟิลิปปินส์ โดยจะตั้งกำแพงภาษีตอบโต้ที่ 19% ขณะที่สหรัฐฯ เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวข้องกับข้อตกลงกับอินโดนีเซียเพิ่มเติมด้วย
เมื่อวันอังคารที่ 22 ก.ค. 2568 ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศว่าเขากับนายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์บรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างกันแล้ว และไม่นานหลังจากนั้น นายทรัมป์ก็เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อตกลงการค้ากับอินโดนีเซียที่เขาประกาศไปก่อนหน้านี้
ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว สินค้าของทั้งฟิลิปปินส์กับอินโดนีเซียที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ จะถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 19% ขณะที่สินค้าอเมริกันที่ส่งออกไปสู่ทั้ง 2 ประเทศจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากร นอกจากนั้นสหรัฐฯ กับฟิลิปปินส์จะเพิ่มความร่วมมือทางทหารระหว่างกันด้วย
ประกาศของนายทรัมป์เกิดขึ้นหลังจากเขาพบปะกับประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่ทำเนียบขาวในวันอังคาร โดยเขาระบุบน Truth Social ว่า “เป็นการเยี่ยมเยือนที่งดงาม และเราได้ข้อสรุปเรื่องข้อตกลงการค้าของเราแล้ว” อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานว่าผู้นำทั้งสองได้ลงนามข้อตกลงอย่างเป็นทางการใดๆ เช่นเดียวกับข้อตกลงที่นายทรัมป์ประกาศก่อนหน้านี้
ข้อตกลงการค้ากับฟิลิปปินส์นับเป็นข้อตกลงฉบับที่ 5 เท่านั้นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใหม่ๆ เรื่องข้อตกลงกับเวียดนามที่นายทรัมป์ประกาศเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ และรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่ได้ชี้แจงว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
อนึ่ง นายทรัมป์ประกาศตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าเกือบทุกประเทศในอัตราแตกต่างกันเมื่อ 2 เม.ย. แต่การบังคับใช้ถูกระงับเป็นเวลา 90 วัน เพื่อเปิดทางเจรจาการค้ากับประเทศต่างๆ ก่อนที่สุดท้ายเส้นตายวันที่ 9 ก.ค.จะถูกเลื่อนออกไปอีกเป็นวันที่ 1 ส.ค. เนื่องจากสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงเพียง 3 ฉบับ
...
หลังจากเข้าสู่เดือนกรกฎาคม นายทรัมป์ส่งจดหมายแจ้งอัตราภาษีใหม่ให้แก่บางประเทศ โดยฟิลิปปินส์ซึ่งถูกตั้งภาษีต่างตอบแทนไว้ที่ 17% ในวันที่ 2 เม.ย. ถูกปรับเพิ่มเป็น 20% และดูเหมือนว่า พวกเขาจะสามารถลดอัตราภาษีลงมาเหลือ 19% ในการเจรจาล่าสุด
ทั้งนี้ เมื่อปี 2567 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากฟิลิปปินส์คิดเป็นมูลค่าราว 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้านำเข้าหลักคือคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ, อาหารแปรรูป, เครื่องจักร และเครื่องนุ่งห่ม ในขณะที่ฟิลิปปินส์นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่าราว 9 พันล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นคอมพิวเตอร์ กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอาหารแปรรูป
เมื่อสัปดาห์ก่อน นายทรัมป์ประกาศบรรลุข้อตกลงการค้ากับอินโดนีเซีย โดยระบุว่าอินโดนีเซียจะซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์, ซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมูลค่า 4.5 พันล้านดอลลาร์ และซื้อเครื่องบินโบอิ้งอีก 50 ลำ ขณะเดียวกัน เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์, เกษตรกรและชาวประมง จะสามารถเข้าถึงตลาดของอินโดนีเซียได้ทั้งหมดด้วย
นอกจากนั้น สหรัฐฯ จะเก็บภาษีสินค้าอินโดนีเซียทุกชนิดที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ ในอัตรา 19% ส่วนสินค้าสหรัฐฯ จะเข้าสู่อินโดนีเซียโดยปลอดภาษีและมาตรการกำแพงทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี หากมีสินค้าจากประเทศที่มีอัตราภาษีสูงกว่ามาส่งผ่านอินโดนีเซีย ภาษีนั้นจะถูกเพิ่มเข้าไปในภาษีที่อินโดนีเซียจะต้องจ่าย
ล่าสุดในวันอังคาร สหรัฐฯ กับอินโดนีเซียมีแถลงการณ์ร่วมกัน เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในข้อตกลงการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ โดยเน้นเรื่องที่อินโดนีเซียตกลงจะแก้ไขมาตรการกำแพงการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff trade barrier)
มาตรการดังกล่าวรวมถึง การยกเลิกการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ เช่น โฆษณาบนเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์หรือแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และยกเลิกการตรวจสอบก่อนจัดส่งสินค้าหรือการตรวจสอบยืนยันสินค้า สำหรับสินค้าอเมริกัน
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า ระบบการตรวจสอบเหล่านี้สร้างภาระให้เกษตรกรอย่างหนักในการส่งออกสินค้า และการยกเลิกมาตรการเหล่านี้ออกไปจะช่วยเปิดตลาดให้แก่พวกเขา
นอกจากนั้น อินโดนีเซียยังตกลงจะยอมรับมาตรฐานความปลอดภัยยานยนต์กลางของสหรัฐฯ (FMVSS) ซึ่งเป็นข้อกำหนดของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อควบคุมการออกแบบ, ผลิต, ประสิทธิภาพ และความทนทานของยานยนต์เพื่อความปลอดภัย และจะยกเลิกข้อจำกัดเรื่องการส่งออกแร่ธาตุสำคัญด้วย
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : cnn