กัมพูชาแถลงตอบโต้กรณีไทยกล่าวหา กัมพูชาฝังกับระเบิดใหม่บริเวณชายแดนทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ โดยยืนยันว่าเป็นข้อกล่าวหาที่ “ไร้มูลความจริงและไร้หลักฐาน” ยืนยันเหตุการณ์เกิดขึ้นในดินแดนกัมพูชา

วันที่ 21 กรกฎาคม 2568 กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชาออกแถลงการณ์ตอบโต้กรณีไทยกล่าวหาว่ากัมพูชาฝังกับระเบิดสังหารบุคคลใหม่บริเวณชายแดนจนทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บเมื่อไม่นานมานี้ โดยกัมพูชายืนยันว่าเป็นข้อกล่าวหาที่ "ไร้มูลความจริงและปราศจากหลักฐาน" พร้อมระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพื้นที่หมู่บ้านมรกต อำเภอจอมกสะ จังหวัดพระวิหาร ซึ่งเป็นดินแดนภายใต้การรับรองของนานาชาติว่าเป็นของกัมพูชา

แถลงการณ์ของกัมพูชายืนยันว่า กัมพูชายังคงปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา ที่ห้ามการใช้กับระเบิดอย่างเคร่งครัด และได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกในความพยายามปลดกับระเบิดจากสงครามในอดีต รวมถึงการร่วมมือกับสหประชาชาติในภารกิจปลดกับระเบิดในประเทศต่างๆ หลังความขัดแย้ง

นอกจากนี้แถลงการณ์ยังกล่าวหาว่า ทหารไทยละเมิดข้อตกลงปี 2543 ที่ระบุให้ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติงานร่วมกันในพื้นที่ที่ยังไม่มีการแบ่งเขตแดนอย่างชัดเจน โดยทหารไทยได้เบี่ยงเบนจากเส้นทางลาดตระเวนที่กำหนดไว้และเข้าไปในดินแดนของกัมพูชาเอง กัมพูชาจึงมองว่าการกระทำแบบนี้ไม่เพียงแต่ละเมิดอธิปไตยเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยต่อความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่ทั้งสองฝ่ายได้สร้างกันไว้

กัมพูชาระบุว่า แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนและไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ไทยก็ยังคงออกแถลงการณ์ที่ขาดความระมัดระวังและทำให้เข้าใจผิด โดยกล่าวอ้างอย่างเป็นเท็จว่า ได้กวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการระเบิดของทุ่นระเบิดแล้ว แต่ในความเป็นจริง ทหารกัมพูชายังคงประจำการอยู่ในพื้นที่ และไม่มีกิจกรรมกวาดล้างทุ่นระเบิดตามที่ไทยอ้าง เนื่องจากพื้นที่นี้อยู่ในอาณาเขตของกัมพูชา แทนที่จะยอมรับความจริงและรับผิดชอบ ไทยกลับยังคงเผยแพร่ข้อมูลเท็จต่อทั้งสาธารณชนและประชาคมระหว่างประเทศ

...

ขณะเดียวกัน กัมพูชาเรียกร้องให้ไทยยุติการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนต่อประชาคมโลก และเสนอให้ทั้งสองประเทศนำข้อพิพาทเรื่องเขตแดนไปสู่การพิจารณาโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ไอซีเจ ซึ่งเคยตัดสินคดีเขาพระวิหารเมื่อปี 2505 และมีการตีความเพิ่มเติมในปี 2556 โดยย้ำว่าแนวทางสันติภาพและกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศคือกุญแจสำคัญในการสร้างเสถียรภาพอย่างยั่งยืนให้กับทั้งสองประเทศและภูมิภาคโดยรวม.