ซามูเอล บอนด์ แฮสเคล ลูกชายผู้จัดการดาราฮอลลีวูดชื่อดัง ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองในห้องขัง ก่อนต้องขึ้นศาลไต่สวนคดีที่เขาก่อเหตุฆ่าหั่นศพของภรรยากับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเมื่อ 2 ปีก่อน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายซามูเอล บอนด์ แฮสเคล ที่ 4 ชาวแคลิฟอร์เนียวัย 37 ปี ผู้ต้องหาคดีฆ่าหั่นศพภรรยาของตัวเองกับพ่อและแม่ของฝ่ายหญิงในบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกันเมื่อ 2 ปีก่อน ถูกพบเป็นศพเสียชีวิตอยู่ภายในห้องขังของเขาที่เรือนจำในลอสแอนเจลิส เคาน์ตี โดยผลการชันสูตรที่ออกในวันจันทร์ที่ 14 ก.ค. 2568 ยืนยันว่าเป็นการจบชีวิตตัวเอง
นายแฮสเคลวัย 37 ปี ถูกจับกุมเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 และถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมน.ส. เม่ย แฮสเคล ผู้เป็นภรรยา, นางหวัง เยี่ยนเซียง แม่ภรรยา และนาย หลี่ เกาซาน พ่อเลี้ยงของภรรยา ก่อนจะหั่นศพของพวกเขาแล้วนำร่างของพวกเขาใส่ถุงขยะไปทิ้ง
นายแฮสเคลปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาระหว่างการขึ้นศาลเมื่อเดือนมกราคม 2567 และตอนนี้เขากำลังถูกคุมขังโดยไม่มีสิทธิ์ประกันตัวระหว่างรอการพิจารณาคดี ซึ่งเขามีสิทธิ์ต้องรับโทษจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีสิทธิ์ทำทัณฑ์บนเพื่อขอปล่อยตัวก่อนกำหนด
...
นายนาธาน ฮอคแมน อัยการเขตลอสแอนเจลิส เคาน์ตี ระบุในแถลงการณ์ว่า นายแฮสเคลถูกพบว่ากลายเป็นศพเสียชีวิตในห้องขังเมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ (12 ก.ค.) ไม่กี่วันก่อนจะถึงวันที่แฮสเคลต้องขึ้นศาลเพื่อรับฟังการไต่สวนเบื้องต้น
“แทนที่จะยืนต่อหน้าผู้พิพากษา และตอบคำถามสำหรับอาชญากรรมที่เขาถูกกล่าวหา จำเลยกลับเลือกที่จะหนีจากความยุติธรรม” นายฮอคแมนระบุ “นี่เป็นพฤติกรรมโหดร้ายครั้งสุดท้ายโดยผู้ที่กระทำเรื่องโหดร้ายที่สุดด้วยเหตุผลที่เราคงไม่มีวันรู้แล้ว ครอบครัวที่ต้องรับมือกับความสูญเสียอย่างไม่อาจจินตนาการ ตอนนี้กลับถูกปล้นโอกาสที่จะเผชิญหน้ากับเขา, เอาผิดเขาสำหรับการกระทำป่าเถื่อน และแสดงความเสียใจและความทรงจำของผู้เป็นที่รักออกมา”
ทั้งนี้ แฮสเคลเป็นลูกชายของนาย แซม แฮสเคลที่ 3 ผู้จัดการดาราฮอลลีวูดชื่อดังมากมาย ทั้ง ดอลลี พาร์ตัน, จอร์จ คลูนีย์ และพรินซ์ เอ็ดเวิร์ด ก่อนที่เขาจะเกษียณอายุเมื่อ 20 ปีก่อน
ในปี 2566 นายแฮสเคลที่ 4 ใช้ชีวิตอยู่กับภรรยา, ลูก 3 คน และพ่อแม่ของฝ่ายหญิง บ้านในเมืองทาร์ซานา รัฐแคลิฟอร์เนีย จนกระทั่งในวันที่ 8 พ.ย.ปีเดียวกัน คนผู้หนึ่งคุ้ยถังขยะขนาดใหญ่ในเมืองเอ็นซิโน ซึ่งห่างจากบ้านของแฮสเคลประมาณ 5 ไมล์ และพบเข้ากับชิ้นส่วนลำตัวมนุษย์ ซึ่งได้รับการยืนยันในภายหลังว่าเป็นของ เม่ย อยู่ในถุงขยะสีดำ
ศพอยู่ในสภาพที่จำแทบไม่ได้หลังจากถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จนเจ้าหน้าที่ชันสูตรของลอสแอนเจลิสต้องใช้เวลามากกว่า 1 เดือน กว่าจะยืนยันตัวผู้เสียชีวิตได้
คดีนี้กลายเป็นหนึ่งในคดีที่น่าสยดสยองที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ในรอบหลายปี แต่ตำรวจลอสแอนเจลิสก็เกือบพลาดคดีนี้ไปเนื่องจากกลุ่มผู้ที่พบหลักฐานของการฆาตกรรมเป็นกลุ่มแรกนั้น พูดได้เพียงภาษาสเปน ทำให้ตำรวจไม่ได้รับฟังอย่างจริงจังในตอนที่พวกเขาแจ้งเรื่องการพบศพ
ผลการสืบสวนเบื้องต้นชี้ว่า นายแฮสเคลจ้างและจ่ายเงินให้ชายหลายคนจำนวน 500 ดอลลาร์ ให้นำถุงพลาสติกสีดำขนาดใหญ่จากบ้านของเขาในเมืองทาร์ซานา ไปทิ้งที่อื่น แต่หลังจากเปิดถุงดูและพบศพ พวกเขาจึงนำถุงกับเงินไปคืนนายแฮสเคล แล้วจากนั้นจึงแจ้งตำรวจ แต่ตำรวจไม่รับฟังอย่างจริงจัง
บ่ายวันเดียวกัน ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นว่า นายแฮสเคลเป็นผู้นำถุงขยะไปทิ้งที่ถังขยะในเมืองเอ็นซิโนด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ เจ้าหน้าที่ก็ยังหาร่างของนางหวังกับนายหลี่ไม่พบ
ตามการเปิดเผยของผู้เป็นลุง เม่ย เดินทางจากประเทศจีนไปสหรัฐฯ เพื่อเรียนต่อวิชาบัญชีและพบกับนายแฮสเคลที่ 4 ตอนเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยนอร์ทริดจ์ ในซานฟรานซิสโก หลังจากทั้งคู่มีลูกคนแรกด้วยกันในปี 2553 พ่อแม่ของเม่ยก็อพยพจากจีนไปอยู่กับพวกเขา
ผู้เป็นลุงเผยว่า เม่ยทำงานหลายอย่างและเป็นกำลังหลักในการหาเงินเลี้ยงครอบครัวนี้ ขณะเดียวกันไม่แน่ชัดว่า นายแฮสเคลที่ 4 ทำงานอะไร หรือได้สนับสนุนทางการเงินใดๆ แก่ครอบครัวหรือไม่
นายโจเซฟ เอ เวมอร์ตซ์ จูเนียร์ ทนายความของครอบครัวแฮสเคล กล่าวว่า ลูกความของเขาไม่กลัวติดคุก แต่เขากลัวการคาดเดาไปต่างๆ นานาของสื่อ และผลกระทบที่เรื่องนี้จะมีต่อลูก 3 คนของเขา
“ในท้ายที่สุด ลูกความของผมถึงขั้นตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง โดยเชื่อว่ามันจะเป็นการยุติความวุ่นวายทั้งหมดนี้” เวมอร์ตซ์กล่าว
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : the guardian
...