รายงานของ สว.สหรัฐฯ จวกหน่วยตำรวจลับว่า ล้มเหลวในการหยุดยั้งความพยายามลอบสังหารโดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างการหาเสียงที่เมืองบัตเลอร์ เมื่อ 1 ปีก่อน

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 ก.ค. 2568 คณะกรรมการความมั่นคงมาตุภูมิแห่งวุฒิสภาสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานการตรวจสอบเหตุพยายามลอบสังหาร โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเกิดขึ้นในวันเดียวกันนี้เมื่อ 1 ปีก่อน โดยกล่าวหาหน่วยตำรวจลับ (USSS) ว่าปฏิบัติการล้มเหลวเพราะสื่อสารล่าช้าและไม่เพิ่มการคุ้มกันให้นายทรัมป์ระหว่างการหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย ทั้งที่เขากำลังเผชิญภัยคุกคามมากขึ้น

“นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดเดียว มันเป็นความล้มเหลวที่สามารถป้องกันได้ที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ” คณะกรรมการความมั่นคงมาตุภูมิแห่งวุฒิสภาสหรัฐฯ ระบุ โดยพวกเขาดำเนินการสืบสวนเหตุการณ์ สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจลับ 17 คน ตรวจสอบเอกสารทางกฎหมายกว่า 75,000 หน้า ตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมา จนได้ข้อสรุปดังกล่าว

นายแรนด์ พอล สว.รัฐเคนทักกี สังกัดพรรครีพับลิกัน ประธานคณะกรรมการความมั่นคงฯ ให้สัมภาษณ์ในรายการ “Face the Nation” ของสถานีโทรทัศน์ CBS โดยเขากล่าวหา น.ส.คิม ชีเทิล อดีตผู้อำนวยการหน่วยตำรวจลับ ว่าโกหกสภาคองเกรสตอนที่เธอให้การว่า หน่วยงานของเธอไม่ได้รับคำขอเพิ่มการคุ้มกันนายทรัมป์ก่อนเกิดเหตุที่เมืองบัตเลอร์

ผลการสืบสวนพบว่า หน่วยตำรวจลับได้รับคำร้องแล้วอย่างน้อยถึง 4 ครั้งจากตำรวจลับที่คุ้มกันนายทรัมป์และทีมหาเสียงของเขา ให้เพิ่มมาตรการป้องกันการซุ่มยิงและเพิ่มการป้องกันอื่นๆ แต่ไม่ได้รับการตอบรับ “นี่เป็นความผิดพลาดที่ซ้อนทับกัน ตอนเราถามหาผู้รับผิดชอบด้านความมั่นคง ทุกคนต่างชี้นิ้วไปที่คนอื่น”

ด้าน น.ส.ชีเทิลออกแถลงการณ์ในวันอาทิตย์ ยืนยันว่าเธอไม่ได้โกหกต่อสภาคองเกรส แต่ในตอนที่เธอให้การนั้น เธอได้รับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สำนักงานใหญ่และทีมคุ้มกันของนายทรัมป์ ซึ่งรวมถึงตัวนายฌอน คูร์ราน ผู้อำนวยการหน่วยตำรวจลับคนปัจจุบันด้วยว่า ไม่มีคำร้องขอเพิ่มการสนับสนุนแก่เจ้าหน้าที่ของเราในเมืองบัตเลอร์ถูกปฏิเสธเลย

...

“การยืนยันหรือการสื่อความหมายโดยนัยใดๆ ว่า ฉันให้การชี้นำผิดๆ นั้นไม่เป็นความจริง และส่งผลเสียต่อเจ้าหน้าที่ชายหญิงที่ทำงานอยู่แนวหน้า ซึ่งต้องถูกลงโทษทางวินัยเพราะความล้มเหลวของทีม แทนที่จะเป็นความล้มเหลวส่วนบุคคล

ทั้งนี้ ในวันเกิดเหตุเมื่อ 13 ก.ค. 2567 นายโทมัส แมททิว ครูกส์ วัย 20 ปี ผู้ทำงานที่บ้านพักผู้สูงอายุในรัฐเพนซิลเวเนีย ปีนขึ้นไปบนอาคารนอกเขตรักษาความปลอดภัยรอบเวทีหาเสียงของนายทรัมป์ ในเมืองบัตเลอร์ ก่อนจะใช้ปืนไรเฟิลตระกูล AG ยิงเข้าใส่เวที จนมีผู้เสียชีวิต 1 ศพ บาดเจ็บอีก 2 คน ส่วนนายทรัมป์ซึ่งเป็นเป้าหมายในการลอบสังหาร รอดชีวิตมาได้ แต่กระสุนถากส่วนบนของหูขวา ขณะที่คนร้ายถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรมในที่เกิดเหตุ

รายงานของคณะกรรมการความมั่นคงฯ ไม่ได้ระบุว่าแรงจูงใจของคนร้ายรายนี้คืออะไร แต่บรรยายความผิดพลาดของการรักษาความปลอดภัยที่ใช้ทรัพยากรมากมายแต่กลับไม่รู้ว่ามือสังหารกำลังพยายามก่อเหตุ

คณะกรรมการฯ ระบุความล้มเหลวของหน่วยตำรวจลับเอาไว้หลายข้อ รวมถึงเรื่องการเผยแพร่ข้อมูลผู้ต้องสงสัย และที่อยู่ของเขา โดยการสืบสวนพบว่า ภายในหน่วยตำรวจลับมีรายงานที่ขัดแย้งกันในเรื่อง ใครรู้อะไรและรู้เมื่อไร “การขาดการสืบสวนอย่างเป็นโครงสร้าง น่าจะเป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดสำหรับความล้มเหลวของหน่วยตำรวจลับ”

ตามรายงานฉบับนี้ ความล้มเหลวของตำรวจลับทำให้นายครูกส์หลบรอดจากการตรวจจับของเจ้าหน้าที่ได้นานเกือบ 45 นาที และกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ในห้องรักษาความปลอดภัย (security room) ว่ากระจายข้อมูลให้ทีมต่างๆ อย่างไม่เหมาะสม ทั้งที่ได้ข้อมูลเรื่องบุคคลน่าสงสัยนอกเขตรักษาความปลอดภัยก่อนเกิดเหตุถึง 25 นาที

ตำรวจรัฐเพนซิลเวเนียนายหนึ่งให้การว่า เขาบอกกับเจ้าหน้าที่ห้องรักษาความปลอดภัยด้วยตัวเองว่า กำลังมีการค้นหาบุคคลที่มีเครื่องวัดระยะนอกเขตรักษาความปลอดภัย แต่เขาไม่รู้ว่า เจ้าหน้าที่ในห้องได้ถ่ายทอดข้อมูลนี้ให้แก่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ผ่านวิทยุหรือไม่ แต่เขามีความรู้สึกว่า มีการขาดความตระหนักถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์

ต่อมา ตำรวจนายเดิมเปิดเผยว่า เขาได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ในห้องรักษาความปลอดภัย ว่าพบบุคคลน่าสงสัยอยู่บนหลังคาอาคาร แต่เขาไม่รู้ว่ามีการถ่ายทอดข้อมูลต่อหรือไม่ ด้านเจ้าหน้าที่ในห้องรักษาความปลอดภัยให้การขัดแย้งกัน โดยระบุว่า เขาได้ยินผ่านวิทยุสื่อสารว่า ตำรวจท้องถิ่นกำลังจัดการปัญหาในทิศ 3 นาฬิกา แต่ไม่รู้เรื่องคนบนหลังคา

เหตุผลทั้งหมดนี้ ทำให้ไม่มีใครหยุดนายทรัมป์ ไม่ให้ก้าวขึ้นเวทีหาเสียง ซึ่งเขาถูกยิงเข้าใส่ในเวลา 18.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น

ในการให้สัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่สืบสวน เจ้าหน้าที่ห้องรักษาความปลอดภัยยอมรับว่า เขาไม่มีการติดต่ออื่นๆ กับตำรวจท้องถิ่นในวันเกิดเหตุ และไม่เคยเห็นแผนปฏิบัติการที่ตำรวจรัฐเพนซิลเวเนียกับสำนักงานฉุกเฉินเมืองบัตเลอร์วางเอาไว้ร่วมกัน ก่อนหน้าวันหาเสียงด้วย

คณะกรรมการความมั่นคงฯ พยายามตั้งคำถามว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่นายนี้จึงถูกพบว่าไม่ได้ละเมิดข้อบังคับใดๆ ของหน่วยตำรวจลับ และไม่ได้รับการลงโทษทางวินัยใดๆ ก่อนที่เขาจะเกษียณออกจากหน่วยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา


ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign


ที่มา : washingtonpost