วันนี้วันที่ 8 ก.ค. หรือวันที่ 8 เดือน 8 ตามปฏิทินไทยแล้ว ในทางเศรษฐกิจเป็นอีก 1 วันที่ต้องจับตา เพราะจะเป็นวันที่ ครม.แพทองธาร 1/2 จะประชุมกันอย่างเป็นทางการ เป็นนัดแรก โดยมีเรื่องสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างน้อย 2 เรื่องที่อาจจะถูกนำเข้ามาพิจารณา
เรื่องแรก คือ การรับมือกับการปรับขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จากสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าในวันนี้เราน่าจะรู้แล้วว่า สหรัฐฯจะเก็บภาษีประเทศไทยในอัตราเท่าไร จะอยู่ที่ 20% หรือ 25% และเราจำเป็นต้องรับมืออย่างไร เพราะเท่าที่ประเมินจากการเจรจาครั้งแรก ยังไม่ได้มีการให้สัญญาว่าคงภาษีของประเทศไทยไว้ที่ 10% ต่อเนื่องระหว่างการเจรจา และยังไม่มีกำหนดวันนัดเจรจาครั้งที่ 2 ต่อเนื่องอย่างเป็นทางการ
ขณะที่เรื่องที่ 2 ซึ่งในขณะที่เขียนยังไม่แน่ใจว่าจะมีการนำเข้าที่ประชุม ครม.หรือไม่ คือ การเสนอชื่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ จาก 2 รายชื่อที่เหลือ ระหว่างนางรุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ธปท. และนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการออมสิน
โดยการตัดสินใจของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ในครั้งนี้ถือว่า “สำคัญมาก” เพราะผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่นี้จะต้องเป็นที่ยอมรับของแวดวงการเงินและการคลังมาเพียงพอ และไม่มีข้อครหา เพื่อให้สามารถผลักดันนโยบายแก้หนี้ครัวเรือน และสร้างสินเชื่อใหม่เข้าไปในระบบเพื่อหล่อเลี้ยงสภาพคล่องของนักธุรกิจรายใหญ่ ย่อย กลาง และภาคประชาชน
ในขณะนี้ภาคเอกชนและนักเศรษฐศาสตร์กำลังมองไปถึง “การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายฉุกเฉิน” หากในที่สุดอัตราภาษีตอบโต้ที่ประเทศไทยได้รับสูงกว่าประเทศคู่แข่งทางการค้า ซึ่งในภาพรวมแม้ว่าการลดดอกเบี้ยนโยบายจะมีผลที่แท้จริงน้อยลง แต่คาด ว่าผลทางจิตวิทยายังทำได้ดี และเห็นถึงความร่วมมือระหว่างนโยบายการเงินและการคลัง
...
อีกประเด็นหนึ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เริ่มแสดงความกังวลมากขึ้น คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง และเป็นการแข็งค่าที่สวนทางกับพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งอยู่ในภาวะที่ตัวเลขเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง ทั้งการส่งออก และการท่องเที่ยว รวมทั้งยังมีปัจจัยความวุ่นวายทางการเมืองที่สร้างความไม่มั่นใจต่อภาพรวมเศรษฐกิจ
แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินบาทกลับแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 9 เดือน เกือบจะหลุด 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนหนึ่งมาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า แต่ที่น่าแปลกใจคือว่านอกเหนือจากเงินไหลเข้าทองคำ พันธบัตร และสกุลเงินที่แข็งแกร่งอย่างเยน ญี่ปุ่น ฟรังก์ สวิสแล้ว มีเงินเข้ามาลงทุนในค่าเงินบาทและพันธบัตรไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ทำให้นักเศรษฐศาสตร์จับตาว่าจะมีกระบวนการ เพื่อเข้ามา “เก็งกำไรค่าเงินบาท” หรือไม่ และเราควรป้องกันหรือบริหารจัดการอย่างไร เพื่อให้ “ค่าเงินบาท” ไม่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยซ้ำเติมเศรษฐกิจ.
มิสเตอร์พี
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม