ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ขู่ไทยห้ามปิดกั้นทางเข้าออกเขตพิพาท 4 แห่งที่ศาลโลกกำลังพิจารณา พร้อมย้ำว่าจะไม่มีการหารือทวิภาคีร่วมกับไทยอีกต่อไป จนกว่าด่านชายแดนกลับมาเปิดตามปกติ
วันที่ 2 กรกฎาคม 2568 นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา กล่าวเตือนไทยห้ามปิดกั้นทางพื้นที่พิพาท 4 แห่ง ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และบริเวณสามเหลี่ยมมรกต ซึ่งจะถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรง พร้อมย้ำว่าพื้นที่เหล่านี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ
โดยผู้นำกัมพูชากล่าวระหว่างร่วมงานวันประมงแห่งชาติ ที่จ.ตาแก้ว ว่ากัมพูชาขอยืนยันว่า พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกตยังไม่มีข้อสรุปใดๆ เรื่องอธิปไตย การตัดสินต้องมาจากกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิในการปิดกั้นการเข้าถึงเพียงลำพังเด็ดขาด
ผู้นำกัมพูชายังย้ำว่า จะไม่มีการหารือทวิภาคีร่วมกับไทยอีกต่อไป จนกว่าด่านชายแดนกลับมาเปิดตามปกติ หากด่านชายแดนไม่เปิดทำการตามปกติ กัมพูชาก็ไม่มีเวลาที่จะไปสังสรรค์ร่วมกับไทย เพราะกัมพูชาแค่ต้องการความถูกต้อง และหากฝ่ายไทยบอกว่าจะเปิดวันไหน กัมพูชาก็จะเปิดภายในวันนั้นทันที แต่เมื่อมันไม่เป็นเช่นนั้น ทำให้กัมพูชาต้องระมัดระวัง
ฮุน มาเนต ย้ำว่าทุกอย่างต้องกลับสู่สภาพเดิมก่อนวันที่ 7 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความตึงเครียดรอบใหม่ พร้อมเตือนชัดเจนว่า หากฝ่ายไทยปิดกั้น 4 พื้นที่พิพาท ชาวกัมพูชาจะมองว่าเท่ากับการ ข้ามเส้นแดง และจะทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นทันที
โดยบอกว่า หากไทยอ้างสิทธิ์ในพื้นที่เหล่านี้ด้วยการกระทำฝ่ายเดียว เท่ากับกัมพูชาต้องยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ของไทย ซึ่งกัมพูชาไม่ยอมรับเด็ดขาดพร้อมกล่าวว่า กัมพูชายืนยันว่าการแบ่งเขตแดนต้องอิงตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ปี 1904 และ 1907 รวมถึงบันทึกความเข้าใจปี 2000 และแผนที่ที่ได้จากข้อตกลงเหล่านี้เท่านั้น พร้อมกล่าวหาไทยว่าพยายามกำหนดพรมแดนใหม่ฝ่ายเดียว
...
ทางด้านนายคิน พีอา ผู้อำนวยการสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แห่งราชบัณฑิตยสถานกัมพูชา กล่าวว่า การที่ไทยปิดกั้นการเข้าถึงพื้นที่พิพาท เท่ากับเป็นการประกาศว่า พื้นที่นั้นเป็นของตนเองอย่างเป็นทางการ ซึ่งไม่มีชาติใดจะยอมรับได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ยังไม่มีข้อตกลงร่วมกันเรื่องสิทธิอธิปไตย นอกจากนี้ความพยายามของกัมพูชาในการหาข้อยุติผ่านศาลระหว่างประเทศ หากถูกเพิกเฉย อาจนำไปสู่การปะทะซ้ำรอยความขัดแย้งช่วงปี 2551 ถึง 2554 ซึ่งก่อให้เกิดการสูญเสีย รวมถึงความเสียหายต่อโบราณสถานอย่างที่เคยเกิดกับปราสาทพระวิหาร.
ที่มา Khmer Times