ท่ามกลางบรรยากาศสถานการณ์โลกและการแข่งขันทางการค้าที่ดำเนินไปอย่างเข้มข้น ได้ส่งผลให้นานาประเทศตกอยู่ในสภาพถูกบีบให้เลือกว่าจะอยู่กับขั้วอำนาจใด
โดยถือเป็นแนวคิดที่ยึดตามระเบียบโลกเก่า ที่ประเทศหรือกลุ่มประเทศกลุ่มหนึ่ง มีสิทธิ์ขาดในการกำหนดทิศทางที่ควรจะเป็น และมักลงเอยในลักษณะ Zero Sum Game ต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะ
อย่างไรก็ตาม คอนเซปต์ดังกล่าวกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ จากการขยับตัวของมหาอำนาจ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ภายใต้การนำของประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ตลอดช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา และแสดงให้ประชาคมโลกได้ตระหนักถึงโอกาสว่า ยังมีหนทางที่ไม่จำเป็นต้องเอาชนะคะคาน สามารถเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน
สำหรับชาวจีนนั้น คำว่าร่วมกัน หรือ Common ไม่ใช่คำพูดสวยหรูที่ผลิตคิดค้นมาใช้ในประโยคทางการทูต แต่เป็นสิ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในตัวตนของชาวจีน ที่สะท้อนถึงมุมมองว่าทุกคนคือครอบครัว
ดังคำว่า “ต้าเจียห่าว” สวัสดีทุกคน ที่หากแปลตรงตัวยังหมายถึง ครอบครัวใหญ่-สวัสดี แสดงให้เห็นถึงความเป็นส่วนรวม แต่ละบุคคลในสังคมมีความเชื่อมโยงกัน ซึ่งต่างกับคำทักทายภาษาอังกฤษ ที่คำว่าสวัสดีทุกคนคือการทักทายแต่ละคนจนครบ แสดงให้เห็นถึงความเป็นปัจเจก คนแต่ละคนแยกจากกัน
...
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคยอธิบายในหนังสือ Up and Out of Poverty ลุกและถีบตัวออกจากความยากจน ซึ่งเป็นแนวคิดจากการใช้ชีวิตอยู่ในมณฑลฝูเจี้ยนที่เต็มไปด้วยความแร้นแค้น กลั่นกรองออกมาเป็นยุทธศาสตร์ที่ให้พลังแก่สังคมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บ่มเพาะอุตสาหกรรมเพื่อการเติบโตในระยะยาว
ปัจจุบันความคิดของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ถูกยกระดับจากมณฑลเป็นระดับประเทศ จากวิสัยทัศน์แปรเปลี่ยนเป็นการลงมือทำ จนประสบความสำเร็จในการดึงประชาชนกว่า 800 ล้านคนออกจากสถานะความยากจน พร้อมบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติภายในปี 2573 ได้ก่อนกำหนดการ
และเป็นที่มาของการขยายแนวคิดต่อไปในระดับสากล นโยบายการต่างประเทศของจีนมองอนาคตร่วมของมนุษยชาติในฐานะ “ครอบครัวใหญ่” และเป็นที่มาของการเรียกร้องให้นานาชาติทำงานร่วมกัน รับรู้ร่วมกันว่าปัญหาต่างๆอย่างสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง การแพร่ระบาดของโรคร้าย และความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ คือสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้หากคิดดำเนินการด้วยตัวคนเดียว
คอนเซปต์ดังกล่าว ถือเป็นแก่นแท้ที่สะท้อนออกมาจากประเทศจีน และหากพิจารณาแล้ว โครงการริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” Belt and Road Initiative ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หลายต่อหลายครั้งว่าเป็นเครื่องมือสร้างอิทธิพลของจีน ก็มาจากแนวคิดของความปรารถนาดี ที่อยากให้ทุกฝ่ายมีการพัฒนาร่วมกัน สร้างถนนหนทาง สร้างทางรถไฟ สร้างท่าเรือ ไม่ใช่เพื่อส่งเสริมการค้า แต่เป็นไปเพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน แก่เหล่าประเทศในซีกโลกใต้ (Global South) ที่จำเป็นต้องได้รับการเข้าไปลงทุน
ในมุมมองของชาติตะวันตกนั้น ให้ความสำคัญในเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคล ซึ่งสิ่งนี้ได้สะท้อนออกมาในนโยบายการบริหารประเทศ และทำให้หลายครั้งเกิดกรณีที่ประเทศใดประเทศหนึ่งถูกมองข้าม ถูกละเลย หรือถูกกีดกันออกจากวง เนื่องจากประเทศเหล่านั้นไม่ตอบโจทย์ความต้องการส่วนตัว หรือไม่ได้ดั่งใจ
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่จะมีทัศนคติว่าจีนก็คงคิดเหมือนกับตัวเอง ต้องเอาผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ขยายอิทธิพลให้กว้างใหญ่ไพศาล โดยลืมที่จะศึกษาว่าแนวคิดของจีนเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกมาช้านานนับพันปี ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว ความปรองดอง ความรับผิดชอบร่วมกัน ให้ความสำคัญต่อส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว
...
จริงอยู่ที่โมเดลของผลประโยชน์ส่วนตัว การแข่งขันแย่งชิงในตลาดเสรี ส่งผลให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็วในซีกโลกหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ยิ่งเป็นการสร้างความไม่เสมอภาค สร้างความแตกแยก เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนซึ่งกำลังเป็นปัญหาสำคัญของสังคมปัจจุบัน
ตัวอย่างไม่ต้องมองไปไกล “วันแห่งการปลดปล่อย” Liberation Day ออกมาตรการกำแพงภาษีตอบโต้ชาติต่างๆ ถือเป็นเรื่องที่สะท้อนออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า ความต้องการของประเทศใดประเทศหนึ่ง สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ไม่ใส่ใจว่าผลกระทบที่ตามมาย่อมเป็นเช่นไร จะมีใครเดือดร้อนมากน้อยแค่ไหน
ในทางกลับกัน สิ่งที่จีนดำเนินการตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถือเป็นการกระทำที่ห่างไกลจากแนวคิดมีผู้แพ้ผู้ชนะ มุ่งเน้นการผลักดันความร่วมมือ ในลักษณะประนีประนอม รับฟังแนวคิดของคนอื่นเพื่อหาจุดยืนร่วม ผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหรือองค์กรต่างๆ
ดังที่เห็นได้จากความสัมพันธ์อันดีกับประเทศแต่ละภูมิภาค โดยเฉพาะประชาคม “อาเซียน” ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง มีการเดินสายกระชับความสัมพันธ์ ร่วมการประชุมหลายระดับ
...
จนประสบความสำเร็จในการบรรลุโครงการเพื่อการพัฒนาหลากหลายภาคส่วนของสังคม อย่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN) เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา จีนได้เล็งเห็นประโยชน์ที่จะช่วยผลักดันให้แพลตฟอร์มขยายกิ่งก้านสาขา กลายเป็นความร่วมมือกับภูมิภาคตะวันออกกลาง
เช่นเดียวกับการเดินสายเยือนประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในเดือน เม.ย. เพื่อแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประชาคมในภูมิภาค ร่วมหาหนทางที่จะคลี่คลายผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ ความวุ่นวายทางการค้า และบรรลุข้อตกลงไปเป็นจำนวน 113 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมทั้งเรื่องการเชื่อมโยงระหว่างกัน การพัฒนาด้านการเกษตร วัฒนธรรมและกีฬา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ไปจนถึงการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)
...
เพราะสำหรับประเทศจีน อาเซียนถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะมาเสริมสร้างเป้าหมายของความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ขณะที่อาเซียนก็มองเช่นเดียวกัน ประกอบกับว่าจีนนั้นคือหุ้นส่วนที่คาดเดาได้ น่าเชื่อถือและพึ่งพาได้ ในห้วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่ไม่นอน
ทั้งหมดทั้งปวงนี้ เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะแสดงวิสัยทัศน์ออกมาอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้ว่า “พวกเราคือครอบครัวเอเชีย” (Asian Family) ซึ่งเป็นมุมมองที่แสดงให้เห็นถึงการต่อยอดของแนวคิดดั้งเดิมว่าพวกเราทั้งหมดคือครอบครัวใหญ่ แต่ถึงเวลาแล้วที่ครอบครัวจะขยับขยายให้กว้างขึ้น
ไม่จำกัดอยู่ที่บ้านใกล้เรือนเคียง หรือเฉพาะคนที่คิดว่าสนิทสนมกัน ซึ่งก็ตรงตามบริบทของความเป็นคน เนื่องด้วยในบางครั้งญาติพี่น้องก็ย่อมมีทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่สุดท้ายเมื่อถึงเวลาจำเป็นจริงๆ ก็ย่อมไม่ทิ้งกัน ไม่มีทางตัดขาดกันได้
เหมือนกับกรณีของประเทศไทย ที่เราจะได้ยินอยู่เสมอว่า “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” คำคำนี้คือสิ่งที่สะท้อนออกมาจากหัวใจและแก่นแท้ของความเป็นจีนอย่างแท้จริง ซึ่งในห้วงเวลาที่ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนครบรอบ 50 ปี ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ย่อมถือเป็นโอกาสที่สองเราจะต่อยอด “ปีแห่งฮันนีมูน–น้ำผึ้งพระจันทร์” ให้กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและยาวนานสืบไป