สื่อนอกเผยแพร่บทวิเคราะห์ บทบาท "แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีของไทย หนึ่งในบรรดาลูกสาวของอดีตผู้นำชาติอาเซียน ที่มาจากอำนาจการเมืองระบบเครือญาติ มีอำนาจผูกโยงกับครอบครัว บ่อนทำลายประชาธิปไตยเสรีในภูมิภาคที่ยังเปราะบาง

วันที่ 27 มิถุนายน 2568 เว็บไซต์ข่าว Nikkei Asia เผยแพร่บทวิเคราะห์ของนายเดวิด ฮัตต์ นักวิจัยจากสถาบันวิจัยยุโรปกลาง ที่ชี้ให้เห็นว่าพัฒนาการ และบทบาททางการเมืองของสตรีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงถูกครอบงำด้วยโครงสร้างการเมืองแบบเครือญาติ ไม่ใช่ผลผลิตของประชาธิปไตยที่แท้จริง 

โดยบทวิเคราะห์ชี้ว่า แม้ผู้หญิงจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้มากขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่หากมองดูจริงๆแล้ว ช่องทางที่พวกเธอใช้ในการเข้าสู่อำนาจนั้นส่วนใหญ่ยังคงเป็นทางลัดผ่านสายสัมพันธ์ทางครอบครัว มากกว่าจะมาจากระบบประชาธิปไตยที่เท่าเทียมและเปิดกว้างอย่างแท้จริง อาทิ แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งน้องสาวของเขา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เคยเป็นนายกฯ เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีนางเมกาวาตี ซูการ์โนปุตรี บุตรสาวของอดีตประธานาธิบดีซูการ์โน ผู้นำคนแรกของอินโดนีเซียหลังได้รับเอกราช และยังมีนางคอราซอน อากีโน ภรรยาของวุฒิสมาชิกเบนิกโน อากีโน และนางกลอเรีย มากาปากัล อาร์โรโย ลูกสาวของอดีตประธานาธิบดี รวมไปถึงนางออง ซาน ซู จี แห่งเมียนมา

บาความนี้ชี้ว่า เธอเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว และนามสกุล มากกว่าความสามารถส่วนบุคคล ขณะที่นักวิชาการถกเถียงกันถึงสาเหตุของปรากฏการณ์นี้ บางคนมองว่าเป็นผลจากความอ่อนแอของพรรคการเมืองในหลายประเทศ ที่ไม่สามารถสร้างระบบให้ผู้หญิงเข้ามาแข่งขันได้อย่างเท่าเทียมกับผู้ชาย อีกด้านหนึ่งบางคนมองว่านี่เป็นผลข้างเคียงของการเปลี่ยนแปลงทางประชาธิปไตย อย่างกรณีฟิลิปปินส์ ที่การกำหนดวาระดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทำให้ญาติของนักการเมืองต้องออกมาลงสมัครสืบต่อกัน

...

โดยมีการอ้างงานวิจัยปี 2021 ซึ่งพบว่า การจำกัดวาระนักการเมืองในฟิลิปปินส์ส่งผลให้จำนวนผู้หญิงที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ทั้งหมดเป็นญาติของนักการเมืองที่ถูกจำกัดวาระ

ขณะเดียวกันบทความก็ชี้ไปถึงกรณีของผู้ชายที่กเิดขึ้นได้เช่นกัน อาทิ กัมพูชา ซึ่งเป็นตัวอย่างล่าสุดที่สะท้อนความย้อนแย้งอย่างชัดเจนของประเทศที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นลูกชายของผู้นำคนก่อน รวมไปถึงประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนปัจจุบัน 

แม้บทความจะไม่ได้กล่าวตรงๆ ว่าการเมืองแบบเครือญาติเป็นต้นเหตุที่ทำลายประชาธิปไตยในเอเชีย แต่สะท้อนให้เห็นว่าการเมืองลักษณะนี้คือหนึ่งในกลไกที่แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของประชาธิปไตยในภูมิภาค ที่ผู้หญิงจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำได้มักต้องอาศัยสายสัมพันธ์ครอครัวกับนักการเมืองชายระดับสูง ไม่ใช่จากกระบวนการแข่งขันที่เปิดกว้างอย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน วงจรของการสืบทอดอำนาจในนามประชาธิปไตยแบบนี้อาจนำไปสู่ความเบื่อหน่ายของประชาชน ที่รู้สึกว่าการเลือกตั้งไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริง และจะเลือกตั้งไปทำไม ถ้าได้คนตระกูลเดิมกลับมา และวัฏจักรแบบนี้อาจทำให้ประชาชนรู้สึกว่าประชาธิปไตยเป็นเพียงหน้ากากของการสืบทอดอำนาจเท่านั้น.

ที่มา Nikkei Asia