หนึ่งในสองอาชญากรผู้เกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัว ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดทฤษฎีโรค สตอกโฮล์ม ซินโดรม หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรคจำเลยรัก เสียชีวิตแล้ว
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายคลาร์ก โอลอฟฟ์สัน ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในปี 2516 หลังจากเขาเข้าไปพัวพันกับเหตุปล้นธนาคารและจับตัวประกันในกรุงสตอกโฮล์ม เมืองหลวงของประเทศสวีเดน เสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2568 ขณะมีอายุ 78 ปี หลังจากล้มป่วยมานาน
นายโอลอฟฟ์สันมีประวัติก่ออาชญากรรมยาวเป็นหางว่าว รวมถึงย่องเบาและทำร้ายร่างกาย และเคยแหกคุกมาแล้วหลายครั้ง และเขาถูกขังคุกอยู่ในตอนที่นาย แยน-เอริค โอลส์สัน ก่อเหตุปล้นธนาคาร “เครดิตแบงเคน” (Kreditbanken) ในย่านนอร์มัลม์สตอร์ก ของกรุงสตอกโฮล์ม ช่วงปลายปี 2516
นายโอลส์สันจับหญิง 3 คน กับชายอีก 1 คนในธนาคารเอาไว้เป็นตัวประกัน และเรียกร้องให้ตำรวจพาตัวนายโอลอฟฟ์สัน ซึ่งได้เป็นเพื่อนตอนที่ทั้งคู่อยู่ในคุก มาที่ธนาคารด้วย ตำรวจจึงไปพาตัวนายโอลอฟฟ์สันมาและให้เข้าไปในธนาคารตามคำเรียกร้อง ท่ามกลางการปิดล้อมของเจ้าหน้าที่
นายโอลส์สันกับนายโอลอฟฟ์สันขังตัวเองอยู่ในธนาคารนาน 6 วัน โดยในระหว่างนั้น เหล่าตัวประกันเริ่มเกิดความเห็นอกเห็นใจคนร้ายทั้งสอง ก่อนจะเริ่มพูดปกป้องการกระทำของ 2 คนนี้ และแสดงท่าทีเป็นศัตรูกับตำรวจที่อยู่ภายนอกมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่เหตุการณ์จะจบลงโดยที่ตำรวจยิงแก๊สเข้าไปในธนาคาร และบุกจับกุมชายทั้ง 2 คน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่าง 6 วันนั้นสร้างความฉงนให้กับทั้งเจ้าหน้าที่ และชาวสวีเดนที่รับชมการถ่ายทอดสดมาก เมื่อนายโอลอฟฟ์สันกลายเป็นคนคุมสถานการณ์แทบจะทันทีที่เข้าไปในธนาคาร และเป็นคนพูดคุยกับตำรวจ ส่วนนายโอลส์สันก็มีอาการสงบลงทันที แต่ที่น่าแปลกคือ หนึ่งในตัวประกันชื่อว่า คริสติน เอินมาร์ก มองนายโอลอฟฟ์สันเป็นผู้กอบกู้
...
“เขาสัญญาว่าเขาจะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับฉัน และฉันตัดสินใจเชื่อเขา” น.ส.เอินมาร์กระบุในหนังสือที่เธอเขียนในภายหลัง “ตอนนั้นฉันอายุ 23 ปี และฉันกลัวว่าจะไม่รอดชีวิต”
น.ส.เอินมาร์กยังโทรศัพท์คุยกับเจ้าหน้าที่หลายคน ระหว่างถูกจับเป็นตัวประกัน และเธอพูดปกป้องผู้ที่จับตัวเธอเอาไว้ “ฉันไม่กลัวคลาร์กกับอีกคนเลยสักนิด ฉันกลัวตำรวจ คุณเข้าใจไหม? ฉันเชื่อใจพวกเขาอย่างสิ้นเชิง” เธอบอกกับนาย โอลอฟ พัลเมอ นายกรัฐมนตรีสวีเดนในตอนนั้นผ่านทางโทรศัพท์
เธอยังขอให้นายพัลเมออนุญาตให้เธอขึ้นรถไปจากธนาคารพร้อมกับนายโอลอฟฟ์สันกับนายโอลส์สัน “ฉันเชื่อใจคลาร์กกับอีกคนอย่างเต็มที่ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเราเลย” “ในทางตรงกันข้าม พวกเขาใจดีมากๆ จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม พวกเรามีช่วงเวลาดีๆ ให้กันที่นี่” เธอยังย้ำด้วยว่า เธอกลัวว่าตำรวจจะบุกเข้ามาแล้วทำให้ชายทั้งสองบาดเจ็บ
ไม่เพียงแค่ น.ส.เอินมาร์กเท่านั้น ในตอนแรกตัวประกันหลายคนปฏิเสธที่จะอยู่ห่างจากชายทั้งสอง เพราะกลัวว่าพลซุ่มยิงจะยิงพวกเขา นอกจากนั้น เหล่าตัวประกันยังไม่ยอมให้ปากคำปรักปรำนายโอลอฟฟ์สันกับนายโอลส์สันด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้เชี่ยวชาญตั้งทฤษฎีเรื่องโรค “สตอกโฮล์ม ซินโดรม” ขึ้นมา (Stockholm syndrome) และมีข้อถกเถียงกันมาตลอดว่า กลุ่มอาการนี้เป็นอาการทางจิตเวชจริงๆ หรือเป็นเพียงกลไกป้องกันตัวเองของมนุษย์ เพื่อรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายกันแน่
เรื่องราวลักษณะคล้ายกันนี้ยังเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ที่โด่งดังมากคือกรณีของ แพตตี้ เฮิร์สต์ หลานสาวนักธุรกิจสื่อใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกกองทัพปลดปล่อยซิมไบโอนีสลักพาตัวไปในปี 2517 แต่หลังจากนั้น 19 เดือนเธอก็ถูกพบตัวและจับกุมเนื่องจากเธอไปก่ออาชญากรรมร่วมกับสมาชิกกลุ่ม SLA
ในการต่อสู้ในชั้นศาล อัยการกล่าวหาว่า เฮิร์สต์ร่วมมือกับ SLA โดยสมัครใจ แต่เธอโต้แย้งว่า เธอถูกข่มขืนและถูกขู่เอาชีวิตหลายครั้งระหว่างถูกจับตัวเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ในปี 2519 เธอถูกตัดสินว่ามีความผิดข้อหาปล้นธนาคาร และให้จำคุก 35 ปี แต่โทษของเธอลดลงเหลือ 7 ปี ก่อนจะได้รับการอภัยโทษจากประธานาธิบดี บิล คลินตัน
ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุในสตอกโฮล์ม นายโอลอฟฟ์สันเปิดเผยกับสื่อว่า ตำรวจขอให้เขาเป็นสายให้เพื่อช่วยคุ้มครองตัวประกันแลกกับการลดโทษจำคุก แต่เขาอ้างว่าสุดท้ายแล้วตำรวจก็ผิดสัญญา และหลังจากนั้นในปี 2518 นายโอลอฟฟ์สันก็แหกคุกออกมา ก่ออาชญากรรมในหลายประเทศ รวมถึงปล้นธนาคารที่โคเปนเฮเกน และถูกจับกุมอีกหลายครั้ง
โอลอฟฟ์สันได้รับการปล่อยตัวครั้งสุดท้ายในปี 2561 หลังจากรับโทษจำคุกข้อหาใช้ยาเสพติดในเบลเยียม
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc