- ช่องแคบฮอร์มุซคือเส้นเลือดหลักของพลังงานโลก โดยมากกว่า 20% ของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลวที่ใช้ทั่วโลก ต้องผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งมีความกว้างเพียง 33 กิโลเมตร และมีจุดเสี่ยงสูงต่อการปิดกั้นหากเกิดความขัดแย้งในภูมิภาค
- ที่ผ่านมา ไม่ว่าสถานการณ์ขัดแย้งจะรุนแรงแค่ไหน แต่อิหร่านยังไม่เคยปิดช่องแคบฮอร์มุซอย่างเต็มรูปแบบ แต่เคยขัดขวางการเดินเรือหลายครั้ง ซึ่งการโจมตีของสหรัฐฯ อาจทำให้อิหร่านตัดสินใจเปลี่ยนท่าที โดยใช้ช่องแคบฮอร์มุซ เป็น "ไพ่ต่อรอง" แม้รู้ว่าการขัดขวางจะกระทบเศรษฐกิจของอิหร่านเอง และชาติพันธมิตรอย่างจีน แต่ก็อาจถือเป็นกลยุทธ์ทางทหารภายใต้สถานการณ์ที่ถูกบีบ
- การปิดช่องแคบฮอร์มุซ อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แม้ประวัติศาสตร์ชี้ว่าผลกระทบมักเกิดช่วงสั้น แต่การกระทบต่อเส้นทางเดินเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก จะทำให้ต้นทุนพลังงานทั่วโลกพุ่งทันที และสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้
สงครามในตะวันออกกลางกำลังทวีความตึงเครียดขึ้นอีกขั้น เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ออกคำสั่งโจมตีโรงงานนิวเคลียร์หลัก 3 แห่งของอิหร่านในช่วงเช้ามืดวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการร่วมวงสงครามกับอิสราเอลอย่างเป็นทางการ หลังจากอิสราเอลลุยเดี่ยวเปิดฉากโจมตีทางอากาศทั่วอิหร่านตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน
การโจมตีของสหรัฐฯ ครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่อาจผลักอิหร่านให้เลือกตอบโต้ในรูปแบบที่โลกจับตา นั่นคือการปิด "ช่องแคบฮอร์มุซ" (Strait of Hormuz) จุดยุทธศาสตร์ทางทะเลที่ถือเป็นคอขวดของพลังงานโลก
แม้ในขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าการขนส่งพลังงานในภูมิภาคได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ตลาดน้ำมันตอบสนองอย่างฉับพลัน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 10% ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน สะท้อนความกังวลของนักลงทุนและรัฐบาลทั่วโลกที่จับตาว่า อิหร่านซึ่งกำลังถูกบีบจนไร้ทางเลือกจะหันไปใช้มาตรการสุดโต่งในการตอบโต้หรือไม่ หนึ่งในนั้นคือการขัดขวางการเดินเรือในช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันกว่า 20% ของความต้องการทั้งโลก
...
และหากอิหร่านเลือกเล่นไพ่ใบนี้จริง โลกอาจต้องเผชิญกับวิกฤติราคาพลังงานครั้งใหม่ ที่ไม่ใช่แค่เขย่าตลาดน้ำมัน แต่จะสั่นสะเทือนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งระบบ
รู้จักช่องแคบฮอร์มุซ "คอขวดพลังงานของโลก"
ช่องแคบฮอร์มุซ เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทะเลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงทางพลังงานของโลก ตั้งอยู่ระหว่างอิหร่านและโอมาน เชื่อมอ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมานและทะเลอาหรับ เส้นทางเดินเรือแคบๆ นี้กลายเป็น "คอขวด" ที่น้ำมันจากประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ในตะวันออกกลาง อาทิ อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ต้องผ่านเพื่อออกสู่ทะเลเปิด
แม้ช่องแคบจะมีความกว้าง 33 กิโลเมตร แต่ช่องทางเดินเรือขาไปและกลับจริงนั้นมีความกว้างเพียง 3 กิโลเมตรต่อทิศทาง ทำให้การขนส่งผ่านจุดนี้สามารถถูกปิดกั้นหรือขัดขวางได้ง่ายเพียงใช้เรือหรือวัตถุเล็กๆ ลอยน้ำเท่านั้น
ข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ หรือ อีไอเอ ระบุว่า ในปี 2024 และต้นปี 2025 มีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลวกว่า 20% ของความต้องการทั่วโลกถูกขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ โดยเฉพาะน้ำมันที่คิดเป็นเกือบ 25% ของการค้าน้ำมันทางทะเลทั่วโลก ทำให้จุดนี้กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจโลกที่หากถูกกระทบแม้เพียงเล็กน้อยจะส่งผลต่อราคาน้ำมันทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน แม้จะมีความพยายามจากประเทศผู้ผลิตอย่างซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่สร้างท่อส่งน้ำมันเลี่ยงเส้นทางผ่านฮอร์มุซ อาทิ ท่อ Abqaiq–Yanbu หรือท่อสู่ท่าเรือ Fujairah แต่ก็ยังไม่อาจชดเชยปริมาณการขนส่งที่มหาศาลผ่านช่องแคบได้ในระดับใกล้เคียง
อิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซหรือไม่
ในตอนนี้คำถามสำคัญอยู่ที่ว่า อิหร่านจะเลือกปิดช่องแคบเพื่อโต้ตอบสหรัฐฯ และอิสราเอลหรือไม่ ในทางเทคนิค อิหร่านมีศักยภาพพอที่จะก่อกวนหรือขัดขวางการเดินเรือในฮอร์มุซ ทั้งการวางกับระเบิดในทะเล การใช้เรือเร็วของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติเข้าโจมตี หรือแม้แต่การยึดเรือสินค้า ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในรอบทศวรรษที่ผ่านมา อย่างกรณีเรือ Advantage Sweet ที่ถูกยึดเมื่อปี 2023 ในอ่าวโอมาน
รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามอิหร่าน–อิรัก ในช่วงยุคปี 1980 ที่ทั้งสองประเทศต่างโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันในบริเวณช่องแคบอย่างต่อเนื่อง หรือเหตุการณ์ในปี 2007 ที่เรือเร็วของอิหร่านเข้าใกล้เรือรบสหรัฐฯ อย่างหวุดหวิด
...
แม้ในอดีตอิหร่านไม่เคยปิดช่องแคบโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ เช่น ไม่ต้องการกระทบเศรษฐกิจของตนเองและจีนซึ่งเป็นลูกค้าน้ำมันรายใหญ่ในช่วงถูกคว่ำบาตร แต่สถานการณ์ครั้งนี้ต่างออกไป เนื่องจากการที่สหรัฐฯ ตัดสินใจเข้าโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่านในวันที่ 22 มิถุนายน ทำให้อิหร่านอาจ มองว่าการปิดช่องแคบฮอร์มุซไม่ใช่ ตัวเลือกที่ไม่ควรทำอีกต่อไป แต่กลายเป็นไพ่ต่อรอง ทางการเมืองและความมั่นคงสำหรับแสดงแสนยานุภาพและต่อรองเวทีโลก
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลาง ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า การจะปิดช่องแคบฮอร์มุซนับเป็นอีกหนึ่งมาตรการของประเทศอิหร่านในการที่จะตอบโต้กับสหรัฐฯ ที่ถล่มโจมตีฐานนิวเคลียร์ของอิหร่าน แม้สถานการณ์ตอนนี้อิหร่านจะไม่ค่อยมีทางเลือกมากนักที่จะตอบโต้ แต่ทางเลือกนี้ก็ยังไม่ได้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะการปิดช่องแทบฮอร์มุซจะตามมาด้วยผลกระทบที่ไม่เฉพาะต่อเศรษฐกิจของโลก อย่างการขนส่งน้ำมัน หรือการค้าขายทางทะเลเท่านั้น แต่ยังจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของอิหร่านเองด้วย และจะส่งผลกระทบต่อพันธมิตรสำคัญของอิหร่านนั่นก็คือประเทศจีน
...
ดร.ศราวุฒิ กล่าวว่า ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการทางการเมืองของอิหร่าน แม้ว่าจะมีมติผ่านในรัฐสภาเรียบร้อยแล้วก็ยังต้องผ่านอีกกลไกหนึ่ง นั่นก็คือสภาความมั่นคง และต้องผ่านการอนุมัติโดยผู้นำสูงสุด อย่างไรก็ตามสิ่งที่อิหร่านทำอย่างระมัดระวังในขณะนี้ ขั้นแรกคือการดำเนินการทางกฎหมายในการนำเรื่องนี้เข้าสู่เวทีสหประชาชาติ เพื่อที่จะอธิบายกับโลกว่าการกระทำของสหรัฐฯ นั้นละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และจะเปิดทางให้อิหร่านมีความชอบธรรมในการตอบโต้มาตรการใดๆ ก็ตามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ขณะที่หากสหรัฐฯ และอิสราเอลไม่สามารถพาอิหร่านกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์ได้ และยังดึงดันที่จะเข้าไปเปลี่ยนระบอบการปกครองของอิหร่าน ตรงนี้ก็จะเป็นเส้นแดงสำคัญที่จะทำให้อิหร่านต้องเลือกใช้เครื่องมือทุกอย่างที่มี และสำคัญก็คือการยิงขีปนาวุธไปโจมตีฐานทัพของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง ซึ่งวิธีนี้ก็จะเสี่ยงต่อการไปกระทบกับพันธมิตรของอิหร่านในกลุ่มประเทศอาหรับ และไม่ว่าอิหร่านจะเลือกทางไหนก็จะมีผลกระทบตามมา ส่วนทางที่อาจมีผลกระทบน้อยมากที่สุดสำหรับอิหร่านก็คือการข่มขู่ว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ แล้วนำไปสู่การเจรจาทางการเมืองหรือการทูตต่อไป
...
ราคาน้ำมัน ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
แรงสั่นสะเทือนจากความตึงเครียดนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกร้อนแรงทันที หลังอิสราเอลเริ่มโจมตีอิหร่านเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวขึ้นกว่า 10% จากระดับต่ำกว่า 70 ดอลลาร์ ขยับขึ้นสู่ 77 ดอลลาร์ภายในไม่ถึง 10 วัน และหากอิหร่านเลือกโจมตีการเดินเรือในช่องแคบฮอร์มุซจริง ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายประเมินว่าราคาน้ำมันอาจทะยานสู่ระดับเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ทันที ซึ่งจะนำไปสู่ต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นทั่วโลก ราคาสินค้าพุ่ง และเงินเฟ้อเร่งตัวกลับมาอีกครั้งในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง
แม้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า หากเกิดการปิดหรือขัดขวางเส้นทางเดินเรือจริง ผลกระทบจะมีลักษณะชั่วคราว คล้ายกับวิกฤตในอดีต อาทิ สงครามอ่าวปี 1991 ที่ราคาน้ำมันพุ่งเท่าตัวในเวลา 2 เดือน แต่กลับมาระดับเดิมใน 3 เดือน หรือกรณีสงครามรัสเซีย–ยูเครนปี 2022 ที่ราคาน้ำมันแตะ 130 ดอลลาร์ แล้วค่อย ๆ ลดลงในไม่กี่เดือนถัดมา
อย่างไรก็ตาม วิกฤตช่องแคบฮอร์มุซอาจไม่เหมือนวิกฤตก่อนหน้า เพราะหากเกิดขึ้นจริง อาจไม่ได้กระทบแค่ราคา แต่จะบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อระบบการค้าทางทะเล การประกันภัย และความปลอดภัยของโครงข่ายพลังงานทั้งระบบในระยะยาว