พล.อ.เตีย เซฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา กล่าว่ากัมพูชากำลังเพิ่มขีดความสามารถทางทหารด้านการป้องกันประเทศอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่คิดรุกรานใคร และปัจจุบันกัมพูชามีเพียงอาวุธจำกัดเพื่อใช้ในกรอบการป้องกันตนเองเท่านั้น ไม่ได้มีเครื่องบินรบใด ๆ ที่จะสามารถบินถึงกรุงเทพฯ
วันที่ 20 มิถุนายน 2568 พล.อ.เตีย เซฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา กล่าวในงานครบรอบ 48 ปี วันครบรำลึกการโค่นล้มระบอบเขมรแดง ที่จัดขึ้นในจังหวัดตะโบงคมุม ระบุว่า กัมพูชาอาจไม่มีเครื่องบินขับไล่หรือเรือรบ แต่กำลังเพิ่มขีดความสามารถทางทหารด้านการป้องกันประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับความร่วมมือจากมิตรประเทศ เพื่อยกระดับระบบป้องกันภัยทางอากาศ อาวุธต่อต้านรถถัง และการป้องกันชายฝั่ง
รัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา กล่าวว่า กัมพูชาไม่มีเครื่องบินรบที่จะบินไปถึงกรุงเทพฯ ไม่มีเรือรบ เพราะกัมพูชาเน้นเฉพาะเรื่องการป้องกันประเทศ ไม่เคยตั้งเป้าจะรุกรานใคร พร้อมเปรียบเทียบว่าขณะที่กองทัพไทยแสดงแสนยานุภาพทางบก น้ำ และทางอากาศอย่างชัดเจน กัมพูชากลับมีเพียงอาวุธจำกัดเพื่อใช้ในกรอบการป้องกันตนเองเท่านั้น
ถ้อยแถลงนี้มีขึ้นในช่วงที่สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงตึงเครียด หลังเหตุปะทะเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ซึ่งทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1ศพ โดยกระทรวงกลาโหมกัมพูชาระบุว่า ฝ่ายไทยมีความเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น ทั้งการขุดสนามเพลาะ สร้างโครงสร้างถาวร นำอาวุธและอุปกรณ์สนับสนุนเข้าพื้นที่ชายแดนจังหวัดพระวิหารและอุดรมีชัย ซึ่งถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพในภูมิภาค
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้กัมพูชาต้องตอบโต้ด้วยมาตรการเชิงสัญลักษณ์หลายด้าน ได้แก่ การระงับการนำเข้าผักผลไม้จากไทยทั่วประเทศเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน การปิดด่านผ่านแดนบ้านอานเซิง จ.พระวิหาร ในวันที่ 19 มิถุนายน และการระงับการนำเข้าไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต รวมถึงหยุดเผยแพร่ภาพยนตร์ไทยในสื่อของรัฐเป็นการชั่วคราว
...
แต่ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลกัมพูชายังเลือกเดินหน้ากลไกสันติภาพ โดยยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อขอให้ตีความปัญหาเขตแดนที่ยังไม่มีข้อยุติในพื้นที่ปราสาทตาเมือน ตาเมือนธม ตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต แม้ผลการตัดสินของศาลจะไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเป็นคุณแก่ฝ่ายใด แต่การส่งเรื่องขึ้น ICJ ถือเป็นทางออกทางกฎหมายที่ทำให้ทั้งสองประเทศสามารถตกลงกันได้ด้วยหลักการและความเป็นธรรม
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความล้มเหลวของกลไกทวิภาคี อาทิ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ที่หยุดชะงักมาตั้งแต่ปี 2555–2556 โดยอ้างว่าไทยและกัมพูชาใช้แผนที่คนละชุด ทำให้ไม่สามารถกำหนดแนวเขตได้อย่างชัดเจน และระบุว่าฝ่ายไทยได้ละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MoU) ปี 2543 ไปแล้วเกือบ 700 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม พล.อ.เตีย เซฮา เรียกร้องให้ประชาชนชาวกัมพูชาอดทนอดกลั้น และอย่าแสดงความเกลียดชังต่อคนไทยหรือธุรกิจไทยที่อยู่ในกัมพูชา โดยระบุว่าชาวไทยและกัมพูชาอยู่ร่วมกันมาหลายสิบปี และควรดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างปกติ.
ที่มา Facebook /Tea Seiha