ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ตัดสินว่า กฎหมายของรัฐเทนเนสซีที่ห้ามผู้เยาว์เข้ารับการดูแลเพื่อการเปลี่ยนเพศ ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันพุธที่ 18 มิ.ย. 2568 ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐฯ มีมติด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 3 ระบุว่า กฎหมายห้ามผู้เยาว์รับการดูแลเพื่อเปลี่ยนเพศ (gender transition care) ที่รัฐเทนเนสซีบังคับใช้เมื่อปี 2566 ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ
วัยรุ่นข้ามเพศ 3 คนกับพ่อแม่ของพวกเขา และแพทย์อีก 1 คน ผู้ให้การดูแลเพื่อการเปลี่ยนเพศแก่วัยรุ่นทั้ง 3 คน ยื่นฟ้องร้องโดยโต้แย้งว่า กฎหมาย “SB1” ของรัฐเทนเนสซีละเมิดรัฐธรรมนูญ ที่รับประกันเรื่องการคุ้มครองความเท่าเทียม ไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติทางเพศ
คดีนี้ซึ่งรู้จักกันในชื่อคดี “สหรัฐฯ ปะทะ สเคอร์เมตติ” (United States v. Skrmetti) นับเป็นครั้งแรกที่ศาลสูงสุดทำคดีเรื่องการดูแลสุขภาพคนข้ามเพศ และการตัดสินใจซึ่งเขียนโดยหัวหน้าผู้พิพากษา จอห์น โรเบิร์ต ระบุว่า กฎหมาย SB1 ไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติต่อคนข้ามเพศ
“เทนเนสซีได้สรุปแล้วว่า กำลังมีการโต้เถียงเกิดขึ้นในหมู่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เรื่องความเสี่ยงและประโยชน์จากการให้ยาหยุดฮอร์โมนเพื่อยับยั้งการเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ (pubertal blocker) และการให้ฮอร์โมนอื่นๆ เพื่อรักษาอาการภาวะอัตลักษณ์ทางเพศไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิด”
“SB1 แบนการรักษาดูแลดังกล่าวเพื่อตอบสนองโดยตรงต่อความไม่แน่นอนนั้น” ผู้พิพากษาจอห์น โรเบิร์ต สรุป
ทั้งนี้ กฎหมายของรัฐเทนเนสซีห้ามกระบวนการใดๆ ที่ทำให้ผู้เยาว์สามารถเปลี่ยนตัวตน หรือใช้ชีวิตโดยที่เพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิดของผู้เยาว์คนนั้น หรือรับการรักษาอาการไม่สบายใจหรือความกังวลใจจากความไม่สอดคล้องระหว่างเพศกำเนิดและเพศสภาพ
...
อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาอย่างเช่น การให้ยาหยุดฮอร์โมนเพื่อยับยั้งการเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ และการบำบัดด้วยฮอร์โมน ถูกใช้ในสถานการณ์ทางการแพทย์ที่หลากหลาย และครอบครัวผู้ฟ้องร้องก็ระบุว่า ลูกๆ ของพวกเขากำลังตกเป็นเป้าหมายอย่างไม่เป็นธรรม เพราะกฎหมายนี้ยังอนุญาตให้ใช้การรักษาแบบนี้กับผู้เยาว์ที่เป็นโรคอื่น
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc