สภานิติบัญญัติแห่งชาติของเวียดนามอนุมัติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อยกเลิกหน่วยงานบริหารระดับอำเภอทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปครั้งสำคัญ เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่โครงสร้างการปกครองแบบสองระดับ

วันนี้ (16 มิย.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติของเวียดนามลงมติเป็นเอกฉันท์ผ่านมติการแก้ไขรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีสมาชิกสภา 470 คน เข้าร่วมการประชุมครั้งที่ 9 และทุกคนลงคะแนนเห็นชอบ

สาระสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ การยกเลิกหน่วยงานบริหารในระดับอำเภอทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป พร้อมทั้งกำหนดบทเฉพาะกาลหลายประการสำหรับช่วงเปลี่ยนผ่าน

สมาชิกรัฐสภาลงมติยกเลิกระบบบริหารระดับอำเภอ โดยลดโครงสร้างรัฐบาลให้เหลือเพียง 2 ระดับ คือ จังหวัดและตำบล การเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญครั้งล่าสุดของรัฐบาลเวียดนาม ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อประหยัดรายจ่ายหลายพันล้านดอลลาร์ด้วยการตัดลดตำแหน่งงานภาครัฐ 1 ใน 5 ตำแหน่ง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ รัฐบาลเวียดนามได้ลดจำนวนกระทรวงของรัฐบาล ส่งผลให้มีการเลิกจ้างเจ้าหน้าที่ 23,000 คน

การปฏิรูปครั้งนี้จะทำให้เวียดนามเปลี่ยนไปใช้ระบบการปกครองส่วนท้องถิ่นแบบสองระดับ ได้แก่ ระดับจังหวัด และระดับตำบล/แขวงที่อยู่ภายใต้การดูแลของจังหวัดโดยตรง โดยตัดระดับ "อำเภอ" ออกไป

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้สะท้อนถึงขั้นตอนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ และปรธานาธิบดีฮาเวียร์ มิเลอิ ของอาร์เจนตินา ดำเนินการเพื่อลดรายจ่ายของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม ในระบบคอมมิวนิสต์ที่การทำงานเพื่อรัฐหมายถึงการมีงานทำตลอดชีวิต การปฏิรูปที่นำร่องโดยประธานาธิบดีโต เลิม หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ ได้ก่อให้เกิดความไม่สบายใจในระดับหนึ่ง เขากล่าวว่า การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เป็นสิ่งจำเป็น หากเวียดนามต้องการบรรลุ "การพัฒนาที่รวดเร็ว มั่นคง และยั่งยืน" ในการมุ่งสู่การเป็นประเทศรายได้ปานกลางภายในปี 2030

...

สมัชชาแห่งชาติยังลงมติที่จะจัดระเบียบรัฐบาลระดับล่างใหม่ โดยลดจำนวนเทศบาลจากกว่า 10,000 แห่งเหลือประมาณ 3,300 แห่ง โดยนางฝาม ถิ แทง จ่า รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเวียดนาม กล่าวว่า "การปฏิรูปครั้งสำคัญ" ครั้งนี้จะทำให้ขนาดของเทศบาลขยายใหญ่ขึ้น

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า การปฏิรูปครั้งนี้จะหมายถึงการเลิกจ้างเจ้าหน้าที่ชั่วคราวประมาณ 120,000 ตำแหน่งในระดับเทศบาล

การปฏิรูปรัฐบาลเกิดขึ้นตามแนวทางการปราบปรามการทุจริตครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลให้ผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลและผู้นำธุรกิจชั้นนำหลายสิบรายได้รับผลกระทบ ขณะที่เวียดนามซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตที่พึ่งพาการส่งออก ตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจ 8 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ หลังจากที่แตะระดับ 7.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว แต่การที่ทรัมป์ขู่จะขึ้นภาษีการค้า 46 เปอร์เซ็นต์กำลังสร้างความวิตกกังวล และคณะผู้เจรจาของเวียดนามกำลังเจรจากับคู่เจรจาของสหรัฐฯ เพื่อหาทางออก.

ที่มา CNA

อ่านข่าวเพิ่มเติม https://www.thairath.co.th/news/foreign