คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ให้คำมั่นว่าจะสร้างกองเรือที่ทันสมัยยิ่งขึ้นเพื่อเสริมกำลังทางทะเลของประเทศ ขณะเข้าร่วมพิธีปล่อยเรือพิฆาตซึ่งได้รับการซ่อมแซมใหม่ หลังจากประสบความล้มเหลวในการปล่อยก่อนหน้านี้
ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นการซ่อมแซมเรือพิฆาตขนาด 5,000 ตัน ที่ได้รับความเสียหายบางส่วนเมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ยังคงดำเนินต่อไป หลังจากที่นายคิมเรียกอุบัติเหตุครั้งนี้ว่าเป็น "การกระทำที่ผิดกฎหมาย" และสั่งให้สร้างเรือขึ้นใหม่ก่อนการประชุมพรรครัฐบาลในช่วงปลายเดือนนี้
รายงานของสำนักข่าวเคซีเอ็นเอ เผยให้เห็น นายคิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ พร้อมกับ คิม จู เอ บุตรสาว ในพิธีปล่อยเรือ ซึ่งตั้งชื่อว่า "คัง กอน" ตามชื่อนักสู้ตามประวัติศาสตร์เกาหลีเหนือที่บันทึกในฐานะบุคคลสำคัญ ที่อู่ต่อเรือราจิน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
คิมกล่าวว่าการซ่อมแซมเรือพิฆาต "ไม่ได้ทำให้ความพยายามของเกาหลีเหนือที่จะเพิ่มกำลังทางเรือล่าช้า" และกล่าวว่ามีแผนที่จะสร้างเรือพิฆาตขนาด 5,000 ตันอีก 2 ลำในปีหน้า
เกาหลีเหนือควบคุมตัวเจ้าหน้าที่หลายคนตั้งแต่การปล่อยเรือพิฆาตลำแรกล้มเหลว ซึ่งเป็นเรือรบลำใหญ่ที่สุดที่เกาหลีเหนือเคยสร้าง นายคิมเรียกร้องให้ประเทศเสริมกำลังทหารทางทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อรับมือกับสิ่งที่เขากล่าวว่าเป็นการยั่วยุโดยสหรัฐและพันธมิตร
ตามรายงานของสำนักข่าวเคซีเอ็นเอ นายคิมกล่าวในสุนทรพจน์ที่พิธีปล่อยเรือพิฆาต ว่า "ในไม่ช้านี้ ศัตรูจะสัมผัสได้ด้วยตัวเองว่าการนั่งดูเรือของศัตรูอาละวาดไปทั่วบริเวณชายขอบน่านน้ำอธิปไตยนั้นช่างยั่วยุและไม่น่าพอใจเพียงใด" "ผมฉันแน่ใจว่าในอนาคตอันใกล้ เส้นทางของเรือรบของเรา จะเปิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อมุ่งสู่ฐานที่มั่นของการรุกราน"
...
คิมยังกล่าวอีกว่าคนงานในอู่ต่อเรือเสียชีวิตระหว่าง "การสร้างเรือพิฆาต" ไม่กี่วันก่อนการปล่อยเรือ และได้มอบใบรับรองการเสียสละเพื่อชาติให้กับครอบครัวของชายคนดังกล่าว
สถาบันวิจัยในสหรัฐฯ ระบุว่า การปล่อยเรือครั้งนี้ เกิดขึ้นเพียงสามสัปดาห์หลังจากความล้มเหลวครั้งแรก อาจเป็นสัญญาณว่าความเสียหายของเรือนั้นค่อนข้างเล็กน้อย ศูนย์การศึกษากลยุทธ์และระหว่างประเทศ (CSIS) ระบุในรายงานว่า ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นว่าป้อมปืนของเรือถูกล้อมไว้ แต่ช่องสำหรับระบบยิงแนวตั้งถูกปิดไว้ ทำให้ไม่ชัดเจนว่าระบบดังกล่าวได้รับการติดตั้งเสร็จสมบูรณ์หรือไม่
CSIS กล่าวว่า แผนของเกาหลีเหนือที่จะสร้างเรือพิฆาตเพิ่มเติมอาจทำให้การป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯ และพันธมิตรในภูมิภาคมีความซับซ้อนมากขึ้น.
ที่มา Reuters
อ่านข่าวเพิ่มเติม https://www.thairath.co.th/news/foreign