- นาย อี แจ-มยอง ตัวแทนจากพรรคประชาธิปไตย ฝ่ายค้านของเกาหลีใต้ คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีก่อนกำหนด ได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป
- เส้นทางการเมืองของนายอีเต็มไปด้วยอุปสรรค เขาไต่เต้าขึ้นมาจากการเป็นแรงงานเด็ก เข้าสู่โลกการเมืองและต้องเผชิญเรื่องอื้อฉาวรวมทั้งการต่อสู้ทางกฎหมายมากมาย
- จุดเปลี่ยนของนายอีเกิดขึ้นหลังจาก อดีตประธานาธิบดี ยุน ซอก-ยอล ประกาศกฎอัยการศึกเมื่อธันวาคมปีก่อน ซึ่งนายอีใช้เรื่องนี้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการพาเขาขึ้นสู่จุดสูงสุดของประเทศ
นาย อี แจ-มยอง ตัวแทนจากพรรคประชาธิปไตย ซึ่งเป็นฝ่ายค้านมาหลายสมัย คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีก่อนกำหนดเมื่อวันอังคารที่ 3 มิ.ย. 2568 ได้เป็นว่าที่ผู้นำประเทศเกาหลีใต้คนต่อไป
ก่อนหน้านี้ เส้นทางสู่อำนาจของนายอีนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยังดำเนินอยู่ การสืบสวนคดีคอร์รัปชัน และข้อกล่าวหาเรื่องการลุแก่อำนาจ ทำให้ความพยายามชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งที่ 2 ของเขาดูไม่สดใสเลยสักนิด
แต่การประกาศกฎอัยการศึกของอดีตประธานาธิบดี ยุน ซอก-ยอล ในคืนวันที่ 3 ธ.ค. 2567 ได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไป การยึดอำนาจของนายยุนล้มเหลว นำไปสู่การถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี และเปิดทางให้นายอี ผู้ไต่เต้าขึ้นมาจากการเป็นแรงงานเด็ก ได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดที่เขารอคอย

...
วัยเด็กแสนลำบาก
อี แจ-มยอง เกิดในปี 2506 ที่หมู่บ้านบนภูเขาแห่งหนึ่งในเมืองอันดง จังหวัดคยองบก (คยองซังเหนือ) เขาเป็นลูกคนที่ 5 ในบรรดาลูกชาย 5 คนและลูกสาว 2 คน
เด็กชาย อี แจ-มยอง ต้องเดินเท้าใกล้ถึง 5 กม.เพื่อไปเรียนชั้นประถม แต่ด้วยสถานการณ์ยากลำบากในครอบครัว ทำให้เขาขาดเรียนบ่อยครั้ง และต้องเลิกเรียนชั้นมัธยมต้นไปเป็นแรงงานเด็กผิดกฎหมายที่โรงงานหลายแห่ง เพื่อช่วยเหลือแม่กับพี่สาว ซึ่งเป็นพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำ
การทำงานในวัยเด็กทำให้เขาประสบอุบัติเหตุนิ้วเข้าไปติดในสายพานส่งกำลังในโรงงาน และพออายุได้ 13 ปี เขาก็ได้รับอาการบาดเจ็บถาวร หลังจากข้อมือของเขาถูกเครื่องปั๊มบดขยี้ แต่ในภายหลังบาดแผลนี้ทำให้เขาได้รับการละเว้นจากการต้องรับราชการทหาร
ในเวลาต่อมา นายอีผ่านการสอบเข้าศึกษาชั้นมัธยมปลายและมหาวิทยาลัยในปี 2521 กับปี 2523 ตามลำดับ โดยเขาเลือกศึกษาวิชากฎหมายและได้รับทุนการศึกษาเต็มจำนวน ก่อนจะสอบเนติบัณฑิตในปี 2529 และแต่งงานกับ น.ส.คิม ฮเย-คยอง ในปี 2535 ก่อนจะมีลูกด้วยกัน 2 คน

เริ่มต้นเส้นทางการเมือง
หลังจากเรียนจบ นายอีทำงานเป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชนนานเกือบ 20 ปี จนกระทั่งในปี 2548 เขาเริ่มก้าวเท้าเข้าสู่โลกการเมือง ด้วยการร่วมเป็นสมาชิกพรรค “อูรี” (Uri) ฝ่ายเสรีนิยม-สังคมนิยม ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลในสมัยนั้น และกลายมาเป็นพรรคประชาธิปไตยในปัจจุบัน
แต่เส้นทางการเมืองของเขาก็ไม่ได้ราบรื่นนัก นายอีพ่ายแพ้การชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองซองนัมที่เขาอาศัยอยู่ในปี 2549 ก่อนทำสำเร็จในความพยายามครั้งที่ 2 ในอีก 4 ปีต่อมา
ด้วยชาติกำเนิดที่ยากจนของเขา ทำให้นายอีโดนดูถูกโดยสมาชิกระดับสูงของพรรค แต่ความสำเร็จในการสร้างอาชีพทางการเมืองของเขาขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของเขา ก็ทำให้เขาได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นแรงงาน และผู้ที่รู้สึกไม่พอใจพวกคนใหญ่คนโตในโลกการเมือง
หลังจากได้เป็นนายกเทศมนตรีเมืองซองนัม ในปี 2553 นายอีก็ดำเนินนโยบายสวัสดิการรัฐฟรีมากมาย และในปี 2561 เขาก็ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดคยองกี ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองซองนัมอีกทีหนึ่ง
นายอียังมีเครดิตในเรื่องการตอบสนองต่อการระบาดของไวรัสโควิด-19 เนื่องจากตอนนั้นเขาโต้เถียงกับรัฐบาลกลางอย่างหนัก เพราะเขาต้องการให้รัฐแจกเงินช่วยเหลือแบบครอบคลุมประชาชนทุกคนในจังหวัดคยองกี ทำให้เขายิ่งได้รับความนิยมในหมู่ประชาชน
ไปไม่ถึงตำแหน่งประธานาธิบดี
ในปี 2560 นายอีพ่ายแพ้ในการชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคไปลงเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ให้แก่นายมูน แจ-อิน และถึงแม้ว่าในปี 2564 เขาจะได้รับเลือกเป็นแคนดิเดตของพรรค แต่เขาก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีให้นาย ยุน ซอก-ยอล ในปีต่อมาด้วยคะแนนส่วนต่างไม่ถึง 1%
ดร.อี จุน-ฮัน ศาสตราจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์การเมืองและการศึกษาระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยแห่งชาติ อินชอน บอกกับสำนักข่าว บีบีซี ว่า หลังจากได้เป็นผู้ว่าฯ ภาพลักษณ์นักปฏิรูปของนายอีก็ค่อยๆ จางหายไป เพราะมุ่งความสนใจไปที่ความทะเยอทะยานอยากเป็นประธานาธิบดีของตัวเองมากกว่า ทำให้เขาเลือกใช้แนวทางที่เป็นข้อถกเถียงและมีความเสี่ยงมากขึ้น จนเริ่มมีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดี
แต่ในด้านอื่นๆ เช่น การแก้ไขความผิดพลาดในอดีตระหว่างยุคการปกครองของญี่ปุ่น, เรื่องสวัสดิการ และการคอร์รัปชัน นายอียังมีฐานเสียงสนับสนุนที่เข้มแข็ง ด้วยทัศนคติการไม่ประนีประนอมของเขา อย่างไรก็ตาม จุดยืนนี้ทำให้สมาชิกกับผู้สนับสนุนพรรคพลังประชาชน (PPP) ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ มองว่านายอีใช้วิธีการก้าวร้าวและสร้างความขัดแย้ง
...

เผชิญคดีอื้อฉาว
เส้นทางการเมืองของนายอียังเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาว ทั้งคดีเมาแล้วขับในปี 2548, ความขัดแย้งกับญาติในช่วงปี 2553, ข้อกล่าวหาเรื่องการมีสัมพันธภาพนอกการสมรสที่เปิดเผยออกมาในปี 2561 และการต่อสู้คดีคอร์รัปชัน รับสินบน และประพฤติผิดต่อหน้าที่ อันเกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาที่ดินในปี 2566
ในบางประเทศของโลก ประชาชนอาจแสดงความเห็นใจ หรือยังคงสนับสนุนนักการเมืองที่มีเรื่องอื้อฉาว แต่สำหรับในเกาหลีใต้ พวกเขายังคงมีความอนุรักษ์นิยม และเรื่องอื้อฉาวมักไม่ส่งผลดีต่อบุคคลสาธารณะ
แต่สิ่งที่นายอีถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมากกว่าคือ ข้อกล่าวหาเรื่องการพูดโกหกระหว่างการดีเบตในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งก่อนเมื่อธันวาคม 2564 โดยในตอนนั้น นายอียืนยันว่าไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับนาย คิม มูน-กี บุคคลสำคัญในคดีทุจริตโครงการพัฒนาที่ดิน ซึ่งเพิ่งจบชีวิตตัวเองเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านั้น
อัยการกับนายอีต่อสู้คดีนี้ไปจนถึงชั้นศาลสูงสุดแล้ว โดยศาลฎีกากลับคำตัดสินของศาลชั้นก่อนที่ให้นายอีพ้นข้อกล่าวหา แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีคำพิพากษาอย่างเป็นทางการ
...
ถูกลอบสังหาร
อนาคตทางการเมืองรวมถึงชีวิตของเขาเกือบตั้งจบสิ้นแล้ว หลังจากเขาถูกชายคนหนึ่งใช้มีดแทงที่คอ ระหว่างตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ไซต์งานก่อสร้างสนามบินเมืองปูซาน เมื่อเดือนมกราคม 2567
การโจมตีครั้งนั้นทำให้เส้นเลือดใหญ่ช่วงคอของนายอีได้รับบาดเจ็บ และต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ ซึ่งเขารอดชีวิตมาได้ แต่ผลจากเรื่องนั้นทำให้การหาเสียงเลือกตั้งของนายอีคราวนี้ต้องจัดขึ้นเบื้องหลังกระจกกันกระสุน โดยที่ตัวเขาสวมเสื้อเกราะกันกระสุน และห้อมล้อมไปด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ถือกระเป๋าที่สามารถกางออกมาเป็นโล่กันกระสุนได้
ส่วนคนร้ายในคดีนี้ถูกตัดสินให้จำคุก 15 ปี โดยผลการสืบสวนพบว่า เขาเขียนแถลงการณ์ความยาวถึง 8 หน้า และต้องการทำให้แน่ใจว่า นายอีจะไม่ได้เป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้

...
คว้าโอกาสในยามวิกฤต
การโจมตีนายอีตอกย้ำเรื่องการแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างลึกล้ำในเกาหลีใต้ และทำให้ความเป็นคู่แข่งทางการเมืองระหว่างนายอี แจ-มยอง กับนายยุน ซอก-ยอล พุ่งถึงขีดสุด โดย 1 สัปดาห์ก่อนที่นายอีจะถูกแทง ผลการสำรวจความคิดเห็นชี้ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเกิน 50% รู้สึกว่าการแบ่งแยกทางการเมืองในเกาหลีใต้เลวร้ายลง
และการแบ่งขั้วทางการเมืองนี้เอง ที่ทำให้เมื่อพรรคประชาธิปไตยของนายอีคว้าเสียงข้างมากในรัฐสภาได้สำเร็จ พวกเขาก็คอยขัดขวางญัตติที่ยื่นโดยรัฐบาลของนายยุนตลอด ทำให้ประธานาธิบดีไม่อาจดำเนินนโยบายใดๆ ได้เลย กดดันให้นายยุนตัดสินใจประกาศกฎอัยการศึกเมื่อยึดอำนาจการปกครองในคืนวันที่ 3 ธ.ค. 2567
ไม่กี่ชั่วโมงหลังมีการประกาศ นายอีได้ไลฟ์สดเรียกร้องให้เหล่าประชาชนออกมารวมตัวกันที่หน้าอาคารรัฐสภา เพื่อต่อต้านการยึดอำนาจอย่างไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดภาพประชาชนมากมายเผชิญหน้ากับทหารที่ยืนคุ้มกันหน้าสภา ในขณะที่ สส.ฝ่ายค้านพยายามบุกฝ่าเข้าไปในอาคารเพื่อลงมติขัดขวางคำสั่งของนายยุน
นายอีก็เป็นหนึ่งใน สส.ที่มีภาพปีนรั้วเข้าสู่อาคารรัฐสภา และช่วยผ่านมติยกเลิกกฎอัยการศึกได้สำเร็จ
ผลจากการประกาศกฎอัยการศึกครั้งนั้น ทำให้นายยุนถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 4 เม.ย. 2568 และ 5 วันหลังจากนั้น นายอีซึ่งมีภาพลักษณ์โดดเด่นมากในการต่อสู้กับการยึดอำนาจ ก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยในวันที่ 9 เม.ย. เพื่อลงเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งเขาได้รับเลือกเป็นแคนดิเดตของพรรคด้วยการสนับสนุนล้นหลาม
นอกจากนั้น ตลอดการหาเสียง นายอีใช้เรื่องความพยายามยึดอำนาจของนายยุนเป็นหนึ่งในอาวุธโจมตีพรรค PPP ที่กำลังระส่ำระสาย โดยให้คำมั่นว่าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจ, ลดความไม่เท่าเทียมและเยียวยาการแบ่งแยกในประเทศ และย้ำเตือนประชาชนด้วยว่า การโหวตให้คู่แข่งจากพรรค PPP คือการเปิดทางให้กองทัพกบฏของนายยุน
ตอนนี้ นายอี แจ-มยอง ในวัย 61 ปี ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งแล้ว การต่อสู้ทางกฎหมายของเขาจะถูกพักเอาไว้ก่อน แต่งานสำคัญของเขาคือ การฟื้นฟูเสถียรภาพของประเทศ และแก้ปัญหาภายในต่างๆ ซึ่งถูกละเลยระหว่างเกิดวิกฤตทางการเมืองในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งปัญหารายได้ไม่เท่าเทียม ค่าครองชีพพุ่งสูง และความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ
ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี
ที่มา : bbc , the guardian