ไนจีเรียพบผู้เสียชีวิตแล้ว 151 ศพ หลังฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในภาคกลางของประเทศ โดยมีประชาชนอีกกว่า 3,000 คนที่ต้องอพยพ
เมื่อวันเสาร์ที่ 31 พ.ค. 2568 สำนักงานจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินรัฐไนเจอร์ (NSEMA) ของประเทศไนจีเรีย ยืนยันว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วมฉับพลันในภาคกลางของประเทศ ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 151 ศพแล้ว ขณะที่ทีมกู้ภัยยังคงออกค้นหาผู้สูญหาย
เขตโมกวา (Mokwa) ของไนจีเรียเผชิญเหตุน้ำท่วมฉับพลัน หลังฝนตกหนักหลายระลอกตั้งแต่ช่วงกลางดึกวันพุธ (28 พ.ค.) ยาวจนถึงวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (29 พ.ค.) ก่อนที่ฝนจะตกซ้ำอีกในช่วงเช้ามืดวันศุกร์ ทำให้บ้านเรือน 265 หลังถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง และประชาชนอย่างน้อย 3,018 คน ต้องอพยพ
NSEMA ระบุว่า จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากผู้ประสบภัยถูกกระแสน้ำท่วมพัดลงแม่น้ำไนเจอร์ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองโมกวา โดยเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ 11 คน และทั้งหมดกำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
ด้านนายมูฮัมหมัด ชาบา หัวหน้าผู้บริหารเขตโมกวา กล่าวว่า ชุมชนของเขาไม่ได้เผชิญเหตุน้ำท่วมรุนแรงขนาดนี้มานาน 60 ปีแล้ว และเรียกร้องขอการสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเริ่มรับมือกับความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างไม่ไหว ในขณะที่ผู้ประสบภัยหลายครอบครัวกำลังต้องการอาหารและที่พักอย่างเร่งด่วน
อนึ่ง เขตโมกวาตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำไนเจอร์ และเป็นจุดเปลี่ยนผ่านระหว่างภาคเหนือกับภาคใต้ของไนจีเรีย โดยสะพานสายหนึ่งซึ่งเชื่อมระหว่างพื้นที่ทางเหนือกับทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศพังถล่มเพราะน้ำท่วม ส่งผลให้ยานพาหนะจำนวนมากติดค้าง
นายโบลา ตินูบู ประธานาธิบดีไนจีเรีย กล่าวว่า เขาได้ออกคำสั่งให้หน่วยงานฉุกเฉินกับหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ยกระดับปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือให้เข้มข้นขึ้นแล้ว
...
อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมวิทยาของไนจีเรียเตือนว่า อาจมีฝนตกเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า ทำให้เกิดความกังวลว่าจะมีน้ำท่วมฉับพลันเกิดขึ้นอีก
ทั้งนี้ ไนจีเรียเผชิญเหตุน้ำท่วมเป็นปกติในช่วงฤดูฝนนาน 6 เดือน ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายนไปจนถึงเดือนตุลาคม แต่เจ้าหน้าที่ระบุว่า ความถี่และความรุนแรงของน้ำท่วมเพิ่มสูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ, การก่อสร้างโดยไม่มีการตรวจสอบ และการระบายน้ำที่ย่ำแย่
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign